ในโลกของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การทำความเข้าใจในเทรนด์โฆษณาถือเป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจที่กำลังเติบโตในการเชื่อมต่อกับผู้ชม นี่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่เป็นมากกว่าแค่การโปรโมทสินค้าหรือบริการ แต่จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง ทำให้แบรนด์เป็นที่จดจำ และช่วยเพิ่มรายได้ในท้ายที่สุด
ด้วยอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์โฆษณาใหม่ล่าสุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ถูกพูดถึงในรายงานและเว็บไซต์เป็นจำนวนมาก แต่เรา Business2Community ก็ได้ตระหนักถึงข้อมูลที่มีความสำคัญ น่าเชื่อถือ และเข้าถึงได้ง่าย พร้อมรวบรวมรายการเทรนด์โฆษณาที่ต้องจับตาดูในปี 2024 มาไว้เรียบร้อย
เทรนด์โฆษณาที่สำคัญ
- ค่าใช้จ่ายสำหรับเสียงโฆษณาเตรียมเพิ่มขึ้นไปที่ 10.14 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2023
- ธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 30% ด้วยการใช้แนวทางการโฆษณาที่ดีที่สุด เช่น การทำโฆษณาให้ตรงกับประสบการณ์ผู้ชม
- ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) โดยเฉลี่ยสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ที่ระหว่าง 200% ถึง 300%
- 59% ของผู้ใหญ่ในอเมริกาต้องการรับชมโฆษณาบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในราคาสมัครสมาชิกที่ถูกกว่าปัจจุบัน
- 63% ของธุรกิจวางแผนใช้ AI ในแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2023
เทรนด์โฆษณาในปี 2024 คืออะไร?
การโฆษณาที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลต่อตัวชี้วัดสำคัญ เช่น ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) และผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) จากการศึกษาของ Nielsen ในปี 2022 โดย Google บริษัทต่างๆ จะได้รับ ROI เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 30% เมื่อเทคนิคโฆษณาของบริษัทสอดคล้องกับแนวทางโฆษณาที่ดีที่สุด
โฆษณาที่ดีที่สุดในการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญเทรนด์โฆษณา มีดังนี้:
- สร้างโฆษณาที่สามารถดึงความสนใจของผู้ชมด้วยภาพและเนื้อหาที่น่าสนใจ หรือคอนเทนต์ที่แปลกใหม่
- ศึกษาให้มั่นใจว่าแบรนด์มีความโดดเด่นและชัดเจนในโฆษณา เพื่อทำให้ผู้ชมจดจำได้ง่าย
- สร้างโฆษณาที่สร้างประสบการณ์ร่วมกับผู้ชม พร้อมตอบสนองความต้องการ ความสนใจ และอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กระตุ้นให้ผู้ชมเริ่มมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การสมัครรับข่าว หรืออื่นๆ
จากข้อมูลของ Google Ads อัตรา ROAS เฉลี่ยสำหรับธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 200% ถึง 300% ซึ่งอาจแตกต่างกันอย่างมาก โดยขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรม ช่วงเวลาของปี และประสิทธิผลของกลยุทธ์การตลาดที่ใช้
เทรนด์โฆษณาเหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกถึงวิธีการทำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ เพิ่มการใช้จ่ายให้มากขึ้น และสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเราจะเริ่มเจาะลึกลงในเทรนด์โฆษณาที่ต้องจับตาดูมากที่สุดในปี 2024 เพื่อให้ความรู้ในการปรับปรุงเทคนิคและกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น
1. การโฆษณาตามบริบท
การโฆษณาตามบริบทคือการที่ธุรกิจใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อแสดงโฆษณาตามเนื้อหาของเว็บเพจ ซึ่งเป็นประเภทโฆษณาที่ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องและความน่าสนใจ
จากข้อมูลของ Insider Intelligence อุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลของสหรัฐฯ สามารถสร้างรายได้ 129.34 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 โดยมีส่วนสำคัญมาจากการโฆษณาตามบริบท ซึ่งใช้ระบบอัลกอริธึมในการวิเคราะห์ข้อความของหน้าเว็บที่กำหนดและแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
จากการสำรวจของปี 2022 ในอเมริกา พบว่า 81% ของผู้ตอบแทบสอบถามที่เป็น Gen Z แสดงให้เห็นว่าชื่นชอบโฆษณาที่ถูกปรับให้เหมาะกับตนมากกว่า ส่วน 57% ของคนมิลเลนเนียลก็มีความเห็นเหมือนกัน พบว่าความพึงพอใจต่อรูปแบบโฆษณาเหล่านี้จะลดลงเมื่ออายุของผู้ตอบแบบสอบถามมากขึ้น โดยมี 57% ของคน Gen X และเพียง 43% ของคนรุ่น Baby Boomer เท่านั้นที่ชื่นชอบโฆษณาประเภทดังกล่าว
การศึกษาจาก Network Advertising Initiative ในปี 2021 พบว่าโฆษณาตามประสบการณ์กลุ่มเป้าหมายนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าสองเท่าในการแปลงผู้ใช้ที่คลิกโฆษณาให้เป็นผู้ซื้อ การโฆษณาตามบริบทที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เกิด Conversion มากขึ้น
เช่น แคมเปญ YouTube ที่ใช้การกำหนดกลุ่มเป้าหมายบนมือถือจะช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ได้อีก 50% เมื่อเปรียบเทียบกับแคมเปญที่อิงตามการวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเพียงอย่างเดียว การโฆษณาตามบริบทใช้หลักการที่ตัวโฆษณาจะเกี่ยวข้องกับเป้าหมาย และจะแสดงโฆษณาที่สัมพันธ์กับเทรนด์โฆษณาของผู้ใช้ เพื่อช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและประสิทธิผลของตัวโฆษณา
2. การโฆษณาบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง
ด้วยแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งมาใหม่อย่าง Hulu และ Peacock ที่มีฟีเจอร์แสดงโฆษณาตามระดับ พร้อมเปิดช่องทางให่ให้ธุรกิจเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ภายในปี 2026 รายได้โฆษณาของ Hulu ในอเมริกาถูกคาดการณ์ว่าจะสูงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ โดยคาดว่ารายได้จะแซงหน้าแพลตฟอร์มแบบ Video-on-Demand เช่น Peacock และ Netflix ซึ่งคาดว่าสามารถสร้างรายได้จากโฆษณาแบบวิดีได้ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์และ 1.7 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ
ผลสำรวจโดย Hub Entertainment Research ในปี 2022 พบว่า 59% ของผู้ใหญ่ในอเมริกายินดีดูโฆษณาเพื่อแลกกับราคาสมัครสมาชิกที่ถูกกว่า ส่วนผู้ตอบแบบสอบถามเกือบ 40% ชื่นชอบบริการสตรีมมิ่งที่ไม่มีโฆษณา และแบบ Ad-Supported เทียบกับเพียง 22% ของผู้ที่ต้องการตัวเลือก “โฆษณาแบบจำกัด” เพียงอย่างเดียว
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าผู้ชมพอใจกับประสบการณ์โฆษณาวิดีโอบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหลักๆ ที่นำเสนอแบบระดับโฆษณา เช่น Disney+, HBO Max, และ Netflix ยกตัวอย่างเช่น 33% ของผู้สมัคร Disney+ มองว่าโฆษณาทั่วไปดีกว่าบริการแบบ Ad-Supported โดยตัวเลขจาก HBO Max และ Netflix ก็อยู่ใกล้กันที่ 32% และ 27% ตามลำดับ
ผลสำรวจเดียวกันนี้ยังเผยให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมของผู้ชมลดลงเมื่อมีการโฆษณาถี่เกิน 11 ครั้งในครึ่งชั่วโมง หรือเมื่อโฆษณามีความยาวเกิน 90 วินาที ส่วนโฆษณาที่ยาวและบ่อยกว่าตัวเลขข้างต้นจะได้รับความสนใจน้อยลง
รายงาน State of Streaming Advertising ของ Conviva ฉบับปี 2021 เผยให้เห็นถึงข้อมูลสำคัญสำหรับโฆษณาดิจิทัลในแพลตฟอร์ม ดังนี้:
- ตัวเลขการลงทุนในการโฆษณาบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งยังมีข้อมูลสำคัญไม่เพียงพอ โดย 70% ของผู้ขายโฆษณารู้สึกมั่นใจในแหล่งข้อมูลของตนเอง แต่มีเพียง 39% ของผู้ซื้อโฆษณาเท่านั้นที่เห็นด้วยว่าทางผู้ขายโฆษณามีข้อมูลผู้บริโภคที่จำเป็นต่อการทำแคมเปญสตรีมมิ่ง
- การสร้างรายได้ผ่านกลุ่มเป้าหมายยังเป็นเรื่องยาก เนื่องจากเกือบ 75% ของผู้ขายโฆษณาเชื่อว่าพื้นที่โฆษณาแบบสตรีมมิ่งนั้นสามารถถูกกำหนดในระบบการโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อว่าเป้าหมายผู้ชมทางบ้านจะสามารถเข้าถึงการซื้อได้โดยตรง แต่ก็มีผู้ซื้อโฆษณาไม่ถึงครึ่งที่เห็นด้วยกับมุมมองดังกล่าว
- ผลกระทบของคุณภาพของประสบการณ์ (QoE) ในการโฆษณามีความสำคัญไม่แพ้กับคอนเทนต์ ผู้ชม 54% ชี้ให้เห็นว่าจะเลิกชมเนื้อหาเมื่อโฆษณาวิดีโอไม่โหลดหรือนานเกินไป ด้วยข้อมูลของ Conviva ที่ช่วยสนับสนุนว่าความล่าช้าของโฆษณาเพียงห้าวินาที จะส่งผลให้ผู้ชม 19.24% เลิกรับชมทันที
- แม้ว่าผู้ซื้อ 69% และผู้ขาย 75% จะปรับใช้กฎหมายความเป็นส่วนตัว แต่ก็ต้องมุ่งเน้นที่การสร้างความไว้ใจของผู้ชม โดยการหลีกเลี่ยงการกำหนดเป้าหมายที่ละเอียดเกินไป ผู้บริโภคน้อยกว่าหนึ่งในสามมั่นใจว่าความเป็นส่วนตัวของตนได้รับการปกป้อง และ 29% ได้รับประสบการณ์การโฆษณาสตรีมมิ่งที่น่าอึดอัด
- ผู้ชม 59% มองว่ามีโฆษณาสตรีมมิ่งซ้ำมากเกินไปในช่วงพักเบลคหรือในตอนเดียวกัน ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องแก้ไขเพื่อดึงดูดการลงทุนจากผู้ซื้อและเพิ่มผู้ชมให้มากขึ้น ส่วน 36% พอใจกับโฆษณาผ่านสตรีมมิ่ง
- ความปลอดภัยของแบรนด์ถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยมีเพียง 8% ของผู้ซื้อที่เชื่อว่าคอนเทนต์แบบสตรีมมิ่งปลอดภัยกับแบรนด์ของตนเท่านั้น แต่คนที่เชื่อในความปลอดภัยของแบรนด์มีถึง 174% ที่พร้อมจะแนะนำแพลตฟอร์มดังกล่าวสำหรับการโฆษณา
- ผู้ชมหนึ่งในสามถือเป็น “โอกาสในการสร้างรายได้” จากโฆษณา ผู้ชมกลุ่มนี้มีความพึงพอใจต่ำที่สุดสำหรับโฆษณาแบบสตรีมมิ่ง โดยมีเพียง 6% ที่ชอบโฆษณาที่ดู อีก 12% พบว่าโฆษณาแบบสตรีมมิ่งมีความเกี่ยวข้องกับตน และ 17% มั่นใจว่าความเป็นส่วนตัวของพวกเขาได้รับการปกป้องขณะรับชม
3. การโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย
ด้วยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ลงโฆษณาต้องมีการปรับตัวมากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยในปี 2023 โฆษณาโซเชียลมีเดียใน US มีมูลค่าอยู่ที่ 250 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะสูงถึง 300 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2024
การศึกษาปี 2023 โดย Sprout Social เผยประเด็นสำคัญสำหรับอนาคตของการโฆษณาบนโซเชียล ดังต่อไปนี้:
- 80% ของผู้นำธุรกิจคาดการณ์ว่างบประมาณโซเชียลมีเดียขององค์กรจะเพิ่มขึ้นภายในสามปีข้างหน้า โดยมี 44% คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเกิน 50%
- 90% ของผู้นำธุรกิจเห็นพ้องกันว่าการที่โฆษณาจะประสบความสำเร็จได้นั้นขึ้นอยู่กับการใช้ข้อมูลโซเชียลมีเดียและข้อมูลเชิงลึกอย่างเชี่ยวชาญในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ
- ผู้นำธุรกิจ 97% เชื่อว่าเครื่องมือ AI และ Machine Learning จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้โซเชียลมีเดียและข้อมูลเชิงลึกสำหรับบริษัทต่างๆ
การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์
แพลตฟอร์มอินฟลูทั่วโลกมีมูลค่า 14.27 พันล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะสูงถึง 143.10 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2023 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่ 33.4% ตั้งแต่ปี 2022 ถึง 2030
จากการศึกษาของ Influencer Marketing Hub:
- 63% ของธุรกิจใช้ AI ในการจัดแคมเปญอินฟลู โดยสองในสามของธุรกิจเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การใช้ AI เพื่อหาเหล่าอินฟลูที่เหมาะกับแคมเปญ
- ผู้เข้าแบบสำรวจมากกว่า 83% ยังเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์
- อีก 23% ตั้งเป้าจัดสรรงบประมาณกว่า 40% ให้กับแคมเปญดังกล่าว
- หลายธุรกิจมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับอินฟลูที่มีผู้ชมขนาดเล็กกว่า โดย 39% ต้องการร่วมมือกับ Nano-Influencer และอีก 30% กับ Micro-Influencer และมีธุรกิจส่วนน้อยที่เลือก Macro-Influencers (19%) และดารา (12%)
- การลงทุนในอินฟลู (42%) กลายเป็นแนวทางมาตรฐาน แซงหน้าการแจกผลิตภัณฑ์ฟรีให้พวกเขา (30%)
- 56% ของแบรนด์ต่างๆ ปรับใช้การโฆษณาแบบดังกล่าวบน TikTok ซึ่งกายมาเป็นช่องทางการโฆษณาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แซงหน้า Instagram (51%) เป็นครั้งแรก และแซงหน้า Instagram อย่างมีนัยสำคัญ (51%) Facebook (42%) และ YouTube (38%)
4. โฆษณาวิดีโอ
ในฐานะสื่อสำหรับการเล่าเรื่อง การโฆษณาวิดีโอยังคงครองตลาดดิจิทัลต่อไป โดยตลาดโฆษณาวิดีโอทั่วโลกคาดว่าจะมีมูลค่า 176.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 และสูงถึง 229.8 พันล้านภายในปี 2027 โดยมีอัตราเติบโตที่ 6.8% ซึ่งบริการแบบ SVOD แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ ล้วนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของการเติบโตนี้
รายงานปี 2023 จาก Wyzowl ระบุข้อค้นพบที่สำคัญดังต่อไปนี้:
- 91% ของธุรกิจมองว่าวิดีโอเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางการตลาด
- ผู้คนใช้เวลาดูวิดีโอบนอินเทอร์เน็ตโดยเฉลี่ย 17 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งลดลงจาก 19 ชั่วโมงในปี 2022
- ผู้คน 89% รายงานว่าการดูวิดีโอมีบทบาทสำคัญในการโน้มน้าวให้ตนซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- วิดีโอโฆษณาแบบโต้ตอบแบบสั้นๆ กำลังเพิ่มขึ้น โดยนักการตลาด 31% รายงานว่าพวกเขาใช้วิดีโอแบบดังกล่าว
- YouTube ยังเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับการโฆษณา โดยธุรกิจขนาดใหญ่ 90% ลงทุนในโฆษณา YouTube ตามาด้วย Facebook ที่ 86% ของธุรกิจทองว่าเป็นแพลตฟอร์มที่น่าซื้อโฆษณา
5. การโฆษณาด้วยเสียง
ด้วยผู้ช่วยเสมือน เช่น Alexa, Siri, และ Google Assistant ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง การโฆษณาด้วยคำสั่งเสียงก็กำลังเป็นที่นิยมและเป็นเทรนด์โฆษณาที่ทรงพลังในวงการการโฆษณาเช่นกัน
ข้อมูลจาก BrightLocal ในปี 2018 ระบุว่า 58% ของผู้บริโภคเคยใช้ผลการค้นหาด้วยเสียงเพื่อค้นหาข้อมูลธุรกิจในท้องถิ่นเมื่อปีที่แล้ว แม้ว่าธุรกิจในท้องถิ่นจะได้รับประโยชน์มหาศาลจากโฆษณารูปแบบดังกล่าว แต่เพราะไม่มีภาพ จึงทำให้ยากสำหรับผู้ลงโฆษณา และต้องปรับใช้แนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อดึงดูดผู้ใช้แทน
ถึงอย่างนั้น ทาง Statista ก็คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายสำหรับโฆษณาด้วยเสียงสูงถึง 10.14 พันล้านดอลลาร์ทั่วโลกในปี 2023 ความสำเร็จของการโฆษณาประเภทนี้จะขึ้นอยู่กับความเข้าใจและการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับข้อความที่ใช้สนทนา โดยพิจารณาถึงความแตกต่างของภาษาพูดเมื่อเปรียบเทียบกับคำค้นหาที่พิมพ์ลงไป
จากการศึกษาของ PWC พบว่า 74% ของผู้บริโภคใช้อุปกรณ์ที่สั่งงานด้วยเสียงที่บ้าน แม้ว่ากลุ่มประชากรอายุ 18-24 ปีจะปรับใช้เทคโนโลยีด้านเสียงได้เร็วกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ แต่พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะใช้ระบบเสียงน้อยลง ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ที่มีอายุ 25-49 ปีที่ใช้งานบ่อยที่สุด และมีแนวโน้มถูกจัดอยู่ในผู้ที่ใช้งานด้วยเสียง “หนัก” ที่สุดทางสถิติ
การศึกษาเดียวกันนี้ยังเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่สั่งงานด้วยเสียง ดังนี้:
- 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามคุ้นเคยกับตัวผลิตภัณฑ์ โดย 72% เคยใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง และมีการปรับใช้โดยผู้บริโภคอายุน้อย ครัวเรือนที่มีลูก และผู้ที่มีรายได้เกิน 100,000 ดอลลาร์
- ผู้บริโภคประมาณ 74% ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียงผ่านมือถือที่บ้านเป็นหลัก เพราะกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวเมื่อใช้งานในที่สาธารณะ
- 50% ได้ซื้อสินค้าโดยใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียง และ 25% อาจสั่งงานด้วยเสียงในอนาคต โดยมีการซื้อสินค้าเล็กๆ น้อยๆ และเป็นดิจิทัลมากที่สุด
- ประมาณ 80% ที่ใช้ระบบสั่งงานด้วยเสียงมีความพึงพอใจมากขึ้น
- ผู้บริโภค 25% ไม่ไว้วางใจระบบสั่งงานด้วยเสียง โดยสาเหตุหลักมาจากความกังวลในด้านคำสั่งซื้อและความเป็นส่วนตัว บางคนกังวลว่าคนในครัวเรือนจะซื้อสินค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต
อนาคตของเทรนด์โฆษณา
ในอนาคต โลกการโฆษณาทางโซเชียล เสียง และภาพจะยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถูกขัดเกลาโดยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ข้อมูล งบสำหรับการโฆษณาที่สูงขึ้น และความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มากขึ้น โดยประเด็นสำคัญสามข้อที่ต้องให้ความสำคัญเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การโฆษณาในระยะยาว มีดังนี้
AR และ VR
Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) จะเข้ามาเปลี่ยนนิยามของเทรนด์โฆษณา พร้อมมอบประสบการณ์ที่น่าดื่มด่ำ ซึ่งช่วยยกระดับปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าไปอีกขั้น แบรนด์ที่ใช้ AR และ VR สามารถสร้างเรื่องราวที่เหมาะกับผู้ใช้และน่าสนใจได้ พร้อมผสมผสานระหว่างโลกความจริงและโฆษณาดิจิทัลได้แบบแยบยล
เช่น Ikea และ Pepsi ที่ปรับใช้ AR และ VR สำหรับการโฆษณา โดยแอพ Ikea Place ของทาง Ikea ได้ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพของเฟอร์นิเจอร์ได้ก่อนตัดสินใจซื้อ
ส่วน Pepsi ได้จัดแคมเปญ VR ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเปลี่ยนป้ายรถเมล์เป็นหน้าจอที่สามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ พร้อมดึงดูดผู้คนด้วยเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจ เช่น สิงโตร้องคำราม หรือยูเอฟโอที่บุกโลก
5G
ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่พัฒนาขึ้นในปัจจุบัน ที่จะนำไปสู่การมอบประสบการณ์การโฆษณาที่รวดเร็วและราบรื่นยิ่งขึ้น พร้อมลดระยะเวลาความหน่วงลง 5G จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาสามารถปรับแต่งแคมเปญโฆษณาได้แทบทันที และยังตอบสนองต่อเทรนด์โฆษณาอย่างรวดเร็ว
การถือกำเนิดของเทคโนโลยี 5G มีส่วนสำคัญในการเปิดตัวแอพ ‘SuperStadium’ ของ Verizon และ NFL ซึ่งเปิดโอกาสให้แฟนๆ สามารถรับชมกีฬาได้ผ่านมุมกล้องที่หลากหลาย ฟีดในสนามแข่ง และข้อมูลแบบเรียลไทม์ระหว่างถ่ายทอดสด
การใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรม
การใช้ข้อมูลของผู้บริโภคอย่างมีจริยธรรมถือ Touchpoint สำคัญ โดยมีการเปลี่ยนแปลงกฎคุกกี้จาก Third-Party และข้อมูลแบบ Zero-Party ซึ่งผู้บริโภคก็เริ่มตระหนักถึงความเป็นส่วนตัวทางอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ผู้ลงโฆษณาจึงต้องสร้างสมดุลระหว่างการโฆษณาให้เหมาะกับผู้ใช้และความเป็นส่วนตัว พร้อมแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและการเคารพในข้อมูลผู้ใช้
การใช้ข้อมูลอย่างมีจริยธรรมถือเป็นสิ่งสำคัญในการเทรนด์โฆษณา เช่น Apple ที่ชื่อเสียงของแบรนด์ส่วนหนึ่งก็มาจากความมุ่งมั่นในความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ พร้อมใช้ข้อมูลรวมที่ไม่เปิดเผยตัวตนสำหรับการโฆษณา เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมข้อมูลส่วนตัวได้มากขึ้น เมื่อผู้บริโภคเริ่มคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของข้อมูลเพิ่มมากขึ้น การใช้ข้อมูลที่โปร่งใสและมีจริยธรรมจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความแตกต่างในการโฆษณาได้อย่างแน่นอน