ในฐานะพนักงานขาย ฉันแน่ใจว่าคุณคงได้รับคำแนะนำมากมายตลอดทั้งปีอยู่แล้ว รวมทั้งเทคนิคการขาย ซึ่งนอกจากการเรียนขายนอกสถานที่แล้ว หลักการขายเหล่านี้ยังสามารถทำให้คุณสามารถใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดและปิดการขายได้สำเร็จ ฉันมั่นใจว่าผู้เชี่ยวชาญด้านการขายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ได้แบ่งปันเคล็ดลับสู่ความสำเร็จทั้งหมดให้กับคุณแน่นอน เพราะแบบนั้นก็คงเหมือนการเปิดเผยซอสสูตรลับของ McDonald อะไรแบบนั้น ไม่อย่างนั้น ร้านเบอร์เกอร์อื่นๆ ก็คงนำสูตรที่ได้ไปปรับและต่อยอดเอาเองกันหมด แต่นี่คือ 25 เทคนิคการขายที่ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าแนะนำ
1. รู้จักลูกค้าเป้าหมาย
Amanda Abella ผู้แต่งหนังสือขายดีของ Amazon เรื่อง “Make Money Your Honey” ได้เขียนเอาไว้ว่า “ขั้นตอนแรกในการเพิ่มอัตราการปิดการขายคือการรู้ว่าลูกค้าเป้าหมายของคุณคือใคร”
“วิธีนี้จะช่วยไม่ให้คุณปวดหัวได้มาก เพราะคุณจะสามารถวิเคราะห์กระบวนการขายได้เป็นส่วนๆ แล้วพัฒนาเพิ่ม ทั้งยังช่วยให้คุณตัดบทการขายให้สั้นลงหากไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คุณจะต้องรู้ว่าจุดมุ่งหมายของคุณคืออะไร”
2. เลียนแบบลูกค้าเป้าหมาย
การทำตาม คือการใช้น้ำเสียงและจังหวะของคนอื่น ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในวิธีขายของให้น่าสนใจ เพราะถ้าลูกค้าเป้าหมายมีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณพูดจาเสียงดัง คุณก็ต้องพูดดังด้วย เมื่อทำได้อย่างถูกต้อง การเลียนแบบจะสามารถสร้างสายสัมพันธ์และเพิ่มยอดขายได้ในที่สุด ถือเป็นตัวอย่างคําพูดขายสินค้าที่ได้ผลดีทีเดียว
เพื่อให้เลียนแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องรู้ให้จริง ซึ่งสามารถทำได้โดย:
- สร้างความสัมพันธ์ของคุณก่อนโดยให้ความสนใจกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ และอย่าลืมสบตา
- เริ่มด้วยการเลียนแบบจังหวะและระดับเสียงของอีกฝ่าย
- เข้าใจจังหวะหยุดของอีกฝ่าย
3. ทำให้ตัวเองดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงถ้าขายไม่ได้
“การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่ผมเคยทำเกี่ยวกับการเจรจาและการขายคือการทำให้ตัวเองดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบร้ายแรงถ้าขายไม่ได้” เขียนโดย Preston D. Lee ผู้ก่อตั้งเว็บ Milo
“ถ้าคุณสร้างธุรกิจโดยต้องพึ่งพาลูกค้า 100 เปอร์เซ็นต์เพื่อให้อยู่รอด คุณก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเอาเปรียบ”
“ทำไม? เพราะลูกค้าของคุณจะสัมผัสได้ว่าคุณหมดหวังกับธุรกิจของตัวเองแค่ไหน”
“และเมื่อคุณหมดหวัง คุณก็ทำได้ทุกอย่าง ขายได้ราคาต่ำแม้สินค้าจะเป็นที่ต้องการ ทั้งยังไม่มีอิสระในการสร้างสรรค์ ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการให้ลูกค้าจ่ายเงินมากกว่าที่ลูกค้าต้องการบริการของคุณ คุณก็ไม่มีอำนาจในการต่อรองแน่นอน”
พูดง่ายๆ คือ วางตัวเองให้อยู่ในจุดที่จะไม่หมดหวังน้อยลงเมื่อต้องขายครั้งต่อไป
4. รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ต้องติดต่อกับลูกค้าเป้าหมาย
แน่นอนว่าคุณไม่อยากรบกวนลูกค้าเป้าหมายมากนัก แต่ทุกนาทีมีค่า อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การขาย เพราะยิ่งถ้าคุณรอนาน ลูกค้าเป้าหมายก็จะยิ่งสนใจสินค้าน้อยลงเท่านั้น ในความเป็นจริง หลักวิทยาศาสตร์แสดงให้เราเห็นว่าลูกค้าจะซื้อในเวลาที่ใกล้เคียงกับที่สอบถามข้อมูลสินค้าครั้งแรก คุณจึงควรพยายามติดต่อพวกเขาภายในห้านาที
งานวิจัยที่ละเอียดกว่านั้นยังพบว่าเวลาที่ดีที่สุดในการติดต่อลูกค้าเป้าหมายคือระหว่าง 8.00 น. ถึง 9.00 น. และอีกรอบระหว่าง 16.00 น. ถึง 17.00 น. โดยวันที่ดีที่สุดก็คือวันพุธและวันพฤหัสบดีที่มักจะติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
5. ยืนเมื่อคุณขาย นั่งเมื่อคุณฟัง
Ryan Stewman (หรือ Hardcore Closer) เขียนไว้ว่า “คุณจะแสดงพลังเมื่อยืนออกมาได้มากกว่าตอนนั่ง”
แทนที่จะนั่งฟังเฉยๆ ให้ลุกขึ้นยืนแทน แม้ว่าคุณจะคุยโทรศัพท์กับลูกค้าเป้าหมายอยู่ ให้เดินไปรอบๆ ออฟฟิศคุณแทน “มันทำให้พลังงานไหลเวียนและช่วยเพิ่มโมเมนตัมเพื่อผลประโยชน์ให้กับการโทรของคุณ” Stewman พูดเสริม
“ในทางกลับกัน คุณควรนั่งลงเมื่อต้องรับฟังข้อกังวลและเมื่อลูกค้าไม่เห็นด้วย เพื่อให้คุณรู้สึกผ่อนคลายโดยที่ไม่ต้องขัดจังหวะลูกค้า
เทคนิคการปิดการขายที่ดีคือการแก้ปัญหา และเพื่อแก้ปัญหาคุณต้องฟัง ควบคุมจังหวะของการสนทนาจากการนั่งเมื่อต้องฟัง และยืนเมื่อต้องพูด คุณจะเข้าใจเองว่าการทำแบบนี้จะส่งผลดีต่อการขายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า”
6. กำหนดเวลานัดคุยให้มีประสิทธิภาพที่สุด
การคุยโดยเฉลี่ยใช้เวลา 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง ให้ทำอะไรที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยและกำหนดเวลาคุยที่ 25 หรือ 45 นาทีแทน นี่เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อจดบันทึก ซักถาม หรือส่งอีเมลติดตามผล
7. พยักหน้าเมื่อคุณพูด
วิธีขายของยังไงให้ขายดี พบว่าการพยักหน้าขณะพูดสามารถทำให้คุณรู้สึกดีและมีความมั่นใจมากขึ้น ผลที่ตามมาคือ คุณจะดูมั่นใจและรอบรู้มากขึ้นต่อหน้าลูกค้า
8. ใช้เทคนิค “ตัวล่อ”
นี่คือเทคนิคทางจิตวิทยาที่สามารถมีโน้มน้าวผู้คนได้
เมื่อคุณประสบปัญหาในการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีราคาแพง ให้แนะนำทางเลือกที่สามกับลูกค้าแทน โดยจุดประสงค์เดียวของ “ตัวล่อ” นี้ก็คือทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการดูมีราคาแพงกว่าหรือน่าดึงดูดยิ่งขึ้น เพราะต่อให้เป็นสินค้าที่ราคาเดียวกัน แต่ก็อาจดูน่าดึงดูดน้อยกว่าได้นั่นเอง
9. ยิ้ม
เทคนิคขายที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อกระตุ้นยอดขายคือรอยยิ้ม ใช่ ง่ายๆ แค่นี้เลย
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Penn State พบว่าคนที่ยิ้มจะดูน่ารัก สุภาพ และมีความสามารถ โดยงานวิจัยอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่าการยิ้มจะสร้างความไว้วางใจได้อีกด้วย
ลองใช้เทคนิคเหล่านี้ในการเริ่มฝึกยิ้ม:
- ยิ้มทันทีที่ตื่น
- เตือนตัวเองว่าวันนี้คุณจะยิ้มมากขึ้น
- เตือนตัวเองให้ยิ้มบ่อยๆ
- สร้างจังหวะที่ต้องยิ้ม
- คิดแต่เรื่องดีๆ
- ยิ้มให้ทุกคนที่เจอในวันนี้
10. ขอให้ลูกค้าแนะนำผลิตภัณฑ์ต่อ
Dale Carnegie เคยกล่าวไว้ว่า “ลูกค้า 91 เปอร์เซ็นต์บอกว่าพวกเขาอยากแนะนำผลิตภัณฑ์ [แต่] มีพนักงานขายเพียง 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ขอให้แนะนำ” ถ้าไม่มองเรื่องความถูกต้องของตัวเลขที่ว่า งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจใหม่เกิดจากการบอกต่อ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว คงเป็นอะไรที่ไม่เข้าท่าเลยถ้าจะไม่ขอคำแนะนำผลิตภัณฑ์ และอย่าลืมให้รางวัลเพื่อสนับสนุนลูกค้าด้วย จะมีอะไรต้องกังวลกันล่ะ? เพราะบางคนก็อาจ “ปฏิเสธ” แต่บางคนก็อาจตอบ “ตกลง” แค่นั้นเอง
11. โทรซ้ำ
นี่คือประโยคเด็ดจากนักเขียนหนังสือขายดี Jeb Blount: เมื่อถึงเวลากลับบ้านให้โทรซ้ำอีกครั้ง อันที่จริง พิมพ์ประโยคเมื่อกี้ติดไว้สักที่ เมื่อกลับบ้านเลทหรืออยากกลับบ้านแล้ว
“ผลลัพธ์ของการโทรซ้ำนั้นน่าเหลือเชื่อ” Blount กล่าว “หลายครั้งที่ผม ‘โทรซ้ำ’ นั้นถือเป็นการปิดการขายได้เลย ราวกับว่าจักรวาลให้รางวัลสำหรับสิ่งที่ผมยึดมั่นเอาไว้”
12. เพิ่มยอดขายเล็กน้อยในจุดต่างๆ
ตามแนวทางปฏิบัติของ Amanda Abella คุณสามารถขายผลิตภัณฑ์หรือบริการเพิ่มเติมได้โดยสร้างหน้าเว็บขอบคุณหลังจากที่มีคนเลือกใช้แผ่นงาน งานพรีเซนต์ หรือการสัมมนาออนไลน์แบบฟรีๆ
อีกตัวเลือกคือการใช้ระบบคะแนน โดย Amanda ใช้หลักการที่ว่า “หลังจากมีคนสมัครงานเข้ามาเป็นโค้ช ถ้าพวกเขายังมีคะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ฉันจะแนะนำหนังสือของฉันและขายเป็นโปรแกรมการเรียนด้วยตนเองให้ลูกค้าแทน”
เทคนิคนี้ไม่เพียงแค่การคัดคนที่ไม่เหมาะกับธุรกิจของเธอเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มยอดขายหนังสืออีกด้วย
“และแน่นอน เมื่อขายโดยตรงจากหน้าหลัก ต้องแน่ใจว่าได้รองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลายเอาไว้ เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า”
13. ทำตาม “กฎข้อ 7”
John Stevens กล่าวไว้กับ The Balance ว่า “‘กฎ 7 ข้อ’ คือหลักการตลาดที่ระบุว่าผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าต้องได้รับข้อเสนอของคุณอย่างน้อย 7 ครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจถึงข้อเสนอของคุณจริงๆ และเริ่มตัดสินใจซื้อ”
กฎนี้มีรากฐานมาจากจิตวิทยา เนื่องจากมีการสังเกตผ่านกลไกจิตใจที่เรียกว่า “Mere Exposure Effect” หรือ “หลักความคุ้นเคย” โดยกลไกจิตใจดังกล่าวอธิบายเอาไว้ว่า ยิ่งผู้คนได้สัมผัสกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะมีแนวโน้มที่จะจดบันทึกและพัฒนาความชอบกับสิ่งนั้นๆ มากขึ้นด้วย
คุณจะรวมกฎนี้เข้ากับเทคนิคการพูดขายของได้ยังไง?
- ขยายช่องทางการตลาดของคุณให้ได้มากที่สุด
- ใช้ประโยชน์จากคอนเทนต์หลายรูปแบบ เช่น บล็อกโพสต์ วิดีโอ กรณีศึกษา และอินโฟกราฟิก
- เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายหลายครั้งต่อวัน หรือก็คือการผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- สร้างรายการส่งอีเมล
- มีส่วนร่วมกับบล็อกอุตสาหกรรมและสิ่งที่เผยแพร่ออกไป
- ใช้งานโซเชียลมีเดีย ซึ่งรวมถึงเครือข่ายหลักๆ เช่น Facebook และ Twitter แต่ยังรวมถึงเว็บไซต์โซเชียลมีเดียในอุตสาหกรรมเฉพาะด้วย
- ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เช่น การกำหนดเป้าหมายใหม่ การทำรีมาร์เก็ตติ้ง และการแจ้งเตือนแบบพุช
14. ใช้ประโยชน์จาก LinkedIn
Jack Kosakowski จากบริษัท Act-On Software กล่าวว่า “เคล็ดลับของผมคือวิธีการที่ผมใช้เพื่อค้นหาผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าบน LinkedIn”
“ก่อนอื่น ผมดึงดูดผู้คนที่เขียนบทความบน LinkedIn ผ่านการแสดงความคิดเห็นหรือส่งบันทึกย่อเกี่ยวกับบทความของพวกเขา จากนั้นฉันก็แบ่งปันคอนเทนต์ผ่านช่องทางโซเชียลของตัวเองเพื่อช่วยขยายงานของพวกเขา”
“เมื่อผมสร้างความผูกพันให้สูงขึ้นผ่านการโปรโมท ผมจะติดต่อกลับกับพวกเขาบน LinkedIn เพื่อแบ่งปันเกี่ยวกับสิ่งที่ผมทำสักเล็กน้อย โดยส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะตอบรับการติดตามผลของผมเพราะพวกเขารับรู้ถึงความพยายามที่ผมทุ่มเทโปรโมทพวกเขา”
15. พูดชื่อลูกค้าซ้ำหลายๆ ครั้ง
ถึงจะฟังดูอวยๆ ลูกค้าไปบ้าง แต่นี่คือเรื่องจริง ทุกคนชอบได้ยินเสียงชื่อของตัวเอง ดังนั้นเมื่อปิดการขาย ให้พูดชื่อลูกค้าเป้าหมายซ้ำๆ ตลอดการสนทนา เพื่อดึงความสนใจของพวกเขาและแสดงให้เห็นว่าคุณจดจ่ออยู่กับพวกเขาเท่านั้น
16. คาดการณ์การคัดค้านและฝึกพลิกแพลงให้เป็นการขาย
Steve Bookbinder ซีอีโอและผู้เชี่ยวชาญด้านการขายที่ DM Training กล่าวว่า “ถ้าคุณเป็นนักขาย ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้เจอกับข้อโต้แย้งและอุปสรรคต่างๆ ถ้าคิดว่าจะไม่เจอเลยก็คงต้องบอกว่าคุณคิดผิด”
“และนั่นจะเป็นเหตุผลที่คุณสามารถพลิกแพลงเพื่อที่จะขายด้วยการเตรียมการและฝึกตอบเมื่อลูกค้าแย้งมาและฝึกเผชิญกับปัญหาทั่วๆ ไป”
“คุณคงเข้าใจถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อมแล้ว แต่ขั้นตอนใดที่ควรทำเพื่อเตรียมการรับมือและเปลี่ยนการค้านให้เป็นการขายโดยเฉพาะกันล่ะ?”
“ขั้นแรก สร้างรายการข้อโต้แย้ง คำถาม และข้อกังวลที่คุณได้รับจากลูกค้าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จากนั้นสร้างคำตอบสำหรับแต่ละคำถาม”
“เมื่อคุณทำรายการแล้ว ให้เริ่มฝึกการพลิกแพลงจนกว่าจะฟังดูเป็นธรรมชาติ เมื่อคุณเริ่มใช้การพลิกแพลงแบบนี้ คุณก็จะสามารถปรับแต่งและปรับเปลี่ยนคำพูดได้ตามต้องการ โดยขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าและลูกค้าของคุณ”
17. ถ้าลูกค้าขายสินค้าที่คุณซื้อได้ ให้ซื้อเลย
เมื่อพูดถึงการขายเบื้องต้น การสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้าเป้าหมายและทำให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก จะมีวิธีใดดีไปกว่าที่คุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายแบบนี้ได้โดยการแสดงการสนับสนุนธุรกิจของลูกค้าเป้าหมายกันล่ะ
ตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขาขายเสื้อผ้า ให้สวมใส่สินค้านั้นเมื่อต้องพบกับลูกค้าเป้าหมายคนดังกล่าว แน่นอนว่าต้องมีความเป็นธรรมชาติด้วย เพราะคุณคงไม่อยากใส่เสื้อผ้าสำหรับเด็กเพื่อพิสูจน์ว่าคุณสนับสนุนพวกเขาหรอก
หากลูกค้าเปิดบริการอะไรสักอย่าง ให้ซื้อและลองใช้ดู วิธีนี้ทำให้คุณสามารถแบ่งปันความเห็นและข้อเสนอแนะของคุณกับลูกค้าเป้าหมายได้
18. ทำความคุ้นเคยกับ “ข้อมูลชุดแรก”
Samuel J. Woods นักการตลาดเพื่อการเติบโตเขียนไว้ว่า “ข้อมูลชุดแรกจะส่งผลโดยตรงกับความทรงจำของผู้คนมากที่สุด”
“เมื่อพวกเขาได้รับลำดับของข้อมูล (ตัวเลข ชื่อ คุณสมบัติ ฯลฯ) ข้อมูลที่ส่วนท้ายของลำดับจะจำได้ง่ายที่สุด ข้อมูลชุดแรกจะถูกจดจำในลำดับถัดไป ส่วนข้อมูลส่วนกลางก็มีโอกาสที่จะลืมได้ง่ายที่สุด”
คุณสามารถใช้ไอเดียในการตลาดของคุณได้โดยทำดังต่อไปนี้
“ลองนึกถึงวิธีที่คุณนำเสนอข้อมูลให้กับลูกค้าเป้าหมาย โดยเน้นคุณสมบัติที่คุณรู้ว่าจะเป็นประโยชน์หรือสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าในตอนต้นหรือตอนท้ายการโฆษณาของคุณ
นอกจากนี้ยังใช้ในการพูดเรื่องราคาได้ โดยทั่วไป เมื่อพูดถึงราคาแบบสามระดับ ราคาระดับกลางจะเป็นสินค้าขายดีของคุณ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมีสินค้าที่มีราคามากกว่าสามระดับ โดยทั่วไปราคาแรกหรือสุดท้ายจะเป็นสินค้าขายดี
ทำความเข้าใจสำคัญของลำดับข้อมูลเมื่อต้องอธิบายถึงคุณสมบัติและราคา โดยวางแผนการขายของคุณตามลำดับนั้นๆ”
19. เปิดโอกาสให้ลูกค้า “ปฏิเสธ”
“แม้ตัวอย่างการพูดโน้มน้าวใจขายสินค้าทั้งหมดในโลกจะบอกว่าคุณต้องให้ลูกค้าเป้าหมายพูดว่า ‘ตกลง’ ซ้ำๆ แต่พนักงานขายที่เก่งที่สุดในโลกจะให้โอกาสลูกค้าเป้าหมายบอกปฏิเสธ” กล่าวโดย Mike Michalowicz ผู้เขียน The Pumpkin Plan และ The Toilet Paper Entrepreneur
“การพูดว่าตกลงบ่อยๆ จะไปลดความสำคัญของคำลงทุกครั้งที่พูด แต่ถ้าลูกค้าเป้าหมายได้พูดว่า ‘ไม่เอา’ หลายๆ ตัวเลือก และตอบว่า ‘เอา’ กับตัวเลือกที่เหมาะที่สุดในเวลาที่ใช่ พวกเขาก็มักจะยึดติดกับตัวเลือกนั้นๆ มาก”
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ดีที่สุดจึงขายบ้านที่ไม่ค่อยดีก่อน แล้วเมื่อลูกค้าเห็นบ้านที่เหมาะ พวกเขาก็จะพยายามโน้มน้าวใจคุณเต็มที่”
20. ตื่นและทำตัวให้สดชื่นเข้าไว้
งานวิจัยพบว่าพนักงานขายระดับสูงเป็นคนตื่นเช้า ซึ่งในความเป็นจริง 76 เปอร์เซ็นต์ของพวกเขาจะลุกออกจากเตียงก่อน 7 โมงเช้า ในขณะที่ 35 เปอร์เซ็นต์ตื่นก่อน 6 โมงเช้า แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ใช่เทคนิคการขายที่ง่ายที่สุดสำหรับคนที่ไม่ชอบตื่นเช้า แต่ลองดูก็ไม่เสียหายอะไร
21. ทำให้ลูกค้ากลับมาหาคุณเสมอ
“เมื่อความสัมพันธ์ของลูกค้ากับบริษัทยืดยาวขึ้น ผลกำไรก็เพิ่มขึ้น และก็ไม่ได้เพิ่มมาแค่นิดเดียวเท่านั้น โดยหลายบริษัทสามารถเพิ่มผลกำไรได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์จากการรักษาลูกค้าเพิ่มขึ้นเพียง 5 เปอร์เซ็นต์” – FP Reichheld ผู้เขียน “The Loyalty Effect”
สำหรับธุรกิจของคุณ ลูกค้าที่ภักดีอาจมีสัดส่วนเพียง 12-15 เปอร์เซ็นต์ของลูกค้าทั้งหมด แต่พวกเขาก็สามารถสร้างรายได้ให้กับคุณได้มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ฟูมฟักความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยการทำให้ลูกค้ากลับมาหาคุณเสมอ พร้อมตอบแทนพวกเขาที่กลับมาซื้อสินค้ากับคุณซ้ำ ตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดร้านกาแฟ คุณสามารถแจกกาแฟฟรี 1 แก้วให้กับลูกค้าหลังจากที่ลูกค้าซื้อเครื่องดื่มครบ 10 แก้ว
22. ลงทุนในเทคโนโลยี
ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีขนาดเท่าไหร่ หลายๆ เทคนิคการขายก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้คุณและทีมขายครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นและปิดการขายได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น Salesforce ที่เป็นแพลตฟอร์มลูกค้าสัมพันธ์ชั้นนำ โดยการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าจะทำให้คุณได้จัดการและโต้ตอบกับลูกค้าและผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้ทั้งหมด
23. สนับสนุนประเด็นสังคม
การสนับสนุนประเด็นสังคมจะเพิ่มยอดขายได้ยังไง? เหตุผลง่ายๆ เลยคือถูกใจตลาด Gen Z
ข้อมูลของ American Marketing Association อธิบายว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของคน Gen Z สนับสนุนแบรนด์ที่สนับสนุนประเด็นสังคมที่พวกเขาสนใจ หรือก็คือถ้าคุณตระหนักถึงเรื่องในสังคมมากขึ้น ก็อาจทำให้ยอดขายของคุณดีขึ้นในชั่วข้ามคืนได้เลย
ไม่รู้ว่าจะสนับสนุนประเด็นอะไรดี? ถามทีมของคุณ หากมีประเด็นที่พวกเขาสนใจ ก็มีโอกาสที่ลูกค้าของคุณก็สนใจเช่นกัน และยังมีข้อดีตรงที่พวกเขาจะมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์สินค้าของคุณมากขึ้นด้วย
24. “ให้ฉันช่วยไหม?”
Erica McCurdy โลฟ์โค้ชจากบริษัท McCurdy กล่าวไว้ใน Forbes ว่า “สี่คำเหล่านี้เป็นตัวเปลี่ยนเกม”
“เมื่อเราถามอีกคนหนึ่งว่าเราสามารถให้บริการพวกเขาได้อย่างไร เท่ากับว่าเราเข้าข้างพวกเขา เราจะกลายเป็นพันธมิตรแทนมากกว่าศัตรู”
“เพียงสี่คำ เราก็ได้ขอให้ลูกค้าของเราแบ่งปันสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาและให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัญหาของพวกเขา การสนทนากับลูกค้าถือเป็นข้อมูลที่มีพลังมากที่สุด”
25. ตรวจสอบประสิทธิภาพของคุณ
Miranda Marquit นักข่าวและผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะว่า “สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญคือคุณต้องทบทวนประสิทธิภาพของคุณ”
“ตรวจสอบการขายของคุณ คิดให้ออกว่าอะไรที่ได้ผลและอะไรที่ไม่ได้ผล ซึ่งรวมถึงการดูช่องทางการตลาดเพื่อเช็กว่าช่องทางใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด ใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ หรือวิธีการขายของคุณเอง”
“เมื่อคุณตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล คุณจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาวมากขึ้น”
ทดสอบเทคนิคการขาย
ตอนนี้คุณรู้แล้วว่าเทคนิคการขายมีอะไรบ้าง ลองนำเทคนิคการขายเหล่านี้ไปใช้จริงสักปีสองปี แล้วหาคำตอบว่าเทคนิคข้อใดที่เหมาะกับคุณ เพื่อช่วยเพิ่มยอดขายของคุณทั้งในปัจจุบันและในอนาคต