ถ้าคุณกำลังคิดที่จะใช้เงินสำหรับทำการตลาดไปกับโฆษณาเพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย คุณจะต้องใช้เงินของคุณให้เป็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดย Google มีการโต้ตอบมากกว่า 4.8 พันล้านครั้งและมีผู้เยี่ยมชมที่ไม่ซ้ำ 259 ล้านคนต่อวัน และด้วยจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ขนาดนั้น จึงไม่มีอะไรที่จะเหมาะไปกว่าการใช้ Google ในการโฆษณาธุรกิจของคุณอีกแล้ว
คุณอาจสงสัยว่าการยิงแอด Google ได้ผลจริงไหม? โดยทาง Google ระบุเอาไว้ว่า “Google เป็น Search Engine ที่ผู้คนทำการค้นหาว่าจะทำอะไร ไปที่ไหน หรือจะซื้ออะไร โดยโฆษณาดิจิทัลของคุณจะสามารถปรากฏบน Google ในขณะที่มีคนกำลังมองหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายกับของคุณ ไม่ว่าคุณจะใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ โฆษณาที่เข้ามาในจังหวะเวลาที่เหมาะสมจะสามารถเปลี่ยนผู้คนเหล่านั้นให้เป็นลูกค้าของธุรกิจคุณได้ไม่ยาก” อ่านต่อเพื่อเรียนรู้วิธีโฆษณาบน Google ในการโปรโมทธุรกิจของคุณได้เลย
Google Ads PPC (เดิมชื่อ Google AdWords) คืออะไร?
Google Ads หรือชื่อเดิมคือ Google Adwords เป็น HubSpot ที่ระบุไว้ว่าเป็น“แพลตฟอร์มโฆษณาที่ต้องชำระเงินซึ่งอยู่ภายใต้ช่องทางการตลาดที่เรียกว่าจ่ายต่อคลิก (PPC) ซึ่งคุณ (ผู้ลงโฆษณา) จะต้องจ่ายต่อคลิกหรือต่อการแสดงผล (CPM) บนโฆษณา” โดยแพลตฟอร์มนี้เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2000 เพียงสองปีหลังจากที่ Google บุกตลาดอินเทอร์เน็ต โดยในปี 2018 แพลตฟอร์มโฆษณาดังกล่าวก็ถูกรีแบรนด์ใหม่เป็น Google Ads พร้อมคำแนะนำโดยละเอียดสำหรับโฆษณาบน Google ทั้งยังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะแพลตฟอร์มกูเกิ้ลแอดแบบดิจิทัลสำหรับธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
Google Ads PPC ช่วยให้คุณสร้างและแชร์โฆษณาบนคอมพิวเตอร์และมือถือในช่วงที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเป้าหมายได้ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถโฆษณาบนหน้าผลการค้นหาของ Google Search Engine (SERP) เมื่อลูกค้าในเป้าหมายของคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์และบริการของคุณ โดยโฆษณาจากแพลตฟอร์ม Google Ads จะไม่จำกัดเฉพาะ SERP แต่ยังแสดงบน Blogger, YouTube, และ Google Display Network ซึ่งสามารถ “ช่วยเข้าถึงผู้คนด้วยโฆษณาแบบรูปภาพที่ตรงเป้าหมายในขณะที่พวกเขากำลังเข้าชมเว็บไซต์โปรดของตน แนะนำวิดีโอ YouTube ให้เพื่อนดู ระหว่างอ่าน Gmail หรือระหว่างใช้มือถือและแอพต่างๆ”
วิธีทําโฆษณา Google
Google Ads เป็นโมเดลแบบจ่ายต่อคลิก (PPC) ซึ่งหมายความว่านักการตลาดจะกำหนดคีย์เวิร์ดที่ต้องการบน Google และเสนอราคาซื้อคีย์เวิร์ดนั้นๆ โดยจะทำการแข่งซื้อคีย์เวิร์ดกับธุรกิจอื่นๆ ที่ก็กำหนดคำเหล่านั้นเช่นกัน โดยราคาเสนอสำหรับคีย์เวิร์ดคือ “ราคาเสนอสูงสุด” หรือราคาสูงสุดที่คุณยินดีจ่ายสำหรับโฆษณา ตัวอย่างเช่น หากคุณเสนอราคาสูงสุดที่ 200 บาทและ Google กำหนดว่าราคาต่อหนึ่งคลิกของคุณคือ 100 บาท คุณก็จะสามารถใช้คีย์เวิร์ดนั้นได้ แต่ถ้า Google ตัดสินว่าโฆษณามีมูลค่ามากกว่า 200 บาท คุณก็จะไม่สามารถใช้คีย์เวิร์ดที่คุณเสนอราคาได้นั่นเอง
การยิงแอด Google คุณจะสามารถกำหนดงบประมาณรายวันสูงสุดสำหรับโฆษณาของคุณเองได้ แทนที่จะเสนอราคาสูงสุดอย่างเดียว ด้วยตัวเลือกนี้ คุณจะไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายที่เกินกว่าจำนวนที่กำหนดเอาไว้สำหรับโฆษณาแต่ละรายการต่อวัน โดยตัวเลือกการเสนอราคานี้สามารถช่วยให้คุณประเมินได้ดีขึ้นว่าคุณควรตั้งงบประมาณสำหรับทำโฆษณาทางอินเทอร์เน็ตเท่าไหร่
ตัวเลือกการเสนอราคามีสามประเภทที่นักการตลาดสามารถเลือกได้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำกูเกิ้ลแอด ได้แก่:
- ราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) จำนวนเงินที่คุณจ่ายเมื่อผู้ใช้คลิกดูโฆษณาของคุณ
- ราคาต่อการมีส่วนร่วม (CPE) จำนวนเงินที่คุณจ่ายเมื่อผู้ใช้ดำเนินการบางอย่างกับโฆษณาของคุณ (สมัครรับข้อมูลรายการ ดูวิดีโอ ฯลฯ)
- ต้นทุนต่อพัน (CPM) จำนวนเงินที่คุณจ่ายต่อการแสดงโฆษณา 1,000 ครั้ง
Google ใช้ราคาเสนอและจับคู่กับการประเมินโฆษณาของคุณที่เรียกว่าคะแนนคุณภาพ (Quality Score) ซึ่ง Google อธิบายไว้ว่าเป็น “การประมาณคุณภาพของโฆษณา คีย์เวิร์ด และหน้าเว็บของคุณ โดยโฆษณาที่มีคุณภาพสูงกว่าอาจจะมีราคาที่ถูกกว่าและได้ตำแหน่งโฆษณาที่ดีขึ้น” คะแนนคุณภาพจะมีตั้งแต่ 1-10 โดย 10 คือคะแนนที่ดีที่สุด ดังนั้น ยิ่งคะแนนของคุณสูงเท่าไร คุณก็ยิ่งต้องใช้จ่ายค่าโฆษณาน้อยลงเท่านั้น เมื่อทําโฆษณา Google คะแนนคุณภาพรวมกับราคาเสนอของคุณจะสร้างลำดับโฆษณา (Ad Rank) ซึ่งเป็นลำดับที่โฆษณาของคุณจะปรากฏในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) เมื่อผู้ใช้เห็นและคลิกที่โฆษณา คุณก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเล็กน้อยสำหรับการคลิกเข้าโฆษณา ซึ่งเป็นราคาต่อหนึ่งคลิก (CPC) นั่นเอง
ข้อกำหนดที่ต้องจำเมื่อใช้ Google Ads
แล้ว Google Ads มีอะไรบ้าง? ด้านล่างนี้คือคำศัพท์ทั่วไปที่จะช่วยให้คุณเข้าใจ ตั้งค่า เพิ่มประสิทธิภาพ และยิงแอด Google ด้วยตนเอง แม้ว่าบางคำจะใช้เฉพาะกับการใช้ Google Ads แต่บางคำก็เกี่ยวข้องกับโฆษณา PPC ทั่วๆ ไป
- AdRank กำหนดลำดับโฆษณาเมื่อใช้ Google Ads ยิ่งลำดับโฆษณาของคุณสูงเท่าใด โฆษณาของคุณก็จะยิ่งแสดงต่อผู้ใช้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกชมโฆษณาของคุณ โดยลำดับโฆษณาของคุณถูกกำหนดด้วยการเสนอราคาโฆษณาสูงสุดคูณด้วยคะแนนคุณภาพของโฆษณา
- Keyword เมื่อผู้ใช้ Google ทำการค้นหา Google จะส่งกลับช่วงของผลลัพธ์ที่ตรงกับจุดประสงค์ของผู้ค้นหากลับมา โดยใช้คีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นคำและวลีที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการค้นหา สำหรับโฆษณาของคุณ เลือกคีย์เวิร์ดตามประเภทของข้อความค้นหาที่คุณต้องการให้โฆษณาของคุณแสดงควบคู่ไปด้วย
- Negative Keyword นี่คือรายการคีย์เวิร์ดที่คุณไม่ต้องการจัดอันดับ โดยทั่วไป คีย์เวิร์ดเชิงลบจะกึ่งเกี่ยวข้องกับข้อความค้นหาที่คุณต้องการ แต่ไม่ใช่คีย์เวิร์ดหลักที่คุณต้องการจัดอันดับ
- Campaign Type ในขั้นตอนการตั้งค่า Google Ads คุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณต้องการเปิดใช้ Google Ads ประเภทใด:
- Search Ads เป็นโฆษณาแบบข้อความที่แสดงบน Google SERP
- Responsive Search Ads ให้คุณสร้าง Ads Headline และ Ad Text ได้หลายเวอร์ชัน (Ads Headline 15 เวอร์ชันและ Ad Text 4 รูปแบบ) เมื่อใช้ Google Ads ดังนั้น เพื่อให้ Google สามารถเลือกโฆษณาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดเพื่อแสดงต่อผู้ใช้ โดยในโฆษณา Search Ads แบบดั้งเดิม คุณจะสามารถสร้างโฆษณาของคุณเพียงเวอร์ชันเดียวเท่านั้น อย่างไรก็ตามResponsive Search Ads เปิดโอกาสให้คุณทดสอบองค์ประกอบโฆษณาต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจว่าโฆษณาใดได้รับการคลิกมากที่สุด
- Video Ads เป็นโฆษณา 6-15 วินาทีบน YouTube
- Display Ads โดยทั่วไปจะเป็นรูปภาพและแสดงบนหน้าเว็บภายใน Google Display Network
- Google Display Network (GDN) เป็นเครือข่ายของเว็บไซต์ที่มีพื้นที่บนหน้าเว็บสำหรับยิงแอด Google โดยอาจเป็นรูปภาพหรือข้อความและแสดงด้วยเนื้อหาที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่คุณเลือก โดยทั่วไปแล้ว โฆษณาแบบรูปภาพที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือโฆษณา Google Shopping และโฆษณาแคมเปญของแอพพลิเคชัน
- Click-Through Rate (CTR) คือจำนวนคลิกที่โฆษณาของคุณได้รับตามสัดส่วนของจำนวนการดูโฆษณาของคุณ ถ้า CTR ที่ได้จากกูเกิ้ลแอดสูงก็แสดงว่าโฆษณาของคุณถูกใจลูกค้าเป้าหมายและตรงกับการค้นหาที่พวกเขาเสิร์จ
- Conversion Rate (CVR) จะติดตามจำนวนการส่งแบบฟอร์มเป็นเปอร์เซ็นต์ของการเข้าชมทั้งหมดไปยังหน้าเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งโดยปกติแล้วจะผ่านการใช้ Google Ads หากมี CVR ที่สูงก็หมายความว่าหน้าเว็บไซต์ของคุณสามารถมอบประสบการณ์ผู้ใช้ที่ราบรื่นซึ่งตรงกับความตั้งใจของโฆษณาของคุณ
- Extensions ส่วนขยายโฆษณาช่วยให้คุณใส่ข้อมูลเพิ่มเติมในโฆษณาได้เมื่อทําโฆษณา Google โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยส่วนขยายมีห้าประเภท ได้แก่ ส่วนขยายการโทร ส่วนขยายสำหรับโหลดแอพ ส่วนขยายไซต์ลิงก์ ส่วนขยายสถานที่ตั้ง และส่วนขยายแสดงข้อเสนอ
- Call Extensions ให้คุณรวมหมายเลขโทรศัพท์ของคุณไว้ในโฆษณาของคุณ เพื่อให้ผู้ใช้มีช่องทางในการติดต่อคุณได้ทันที
- App Extensions ให้ลิงก์ดาวน์โหลดแอพสำหรับผู้ใช้มือถือ ส่วนขยายเหล่านี้ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ต้องค้นหาแอพอีกครั้งใน AppStore ของตัวเอง
- Sitelink Extensions ให้คุณระบุลิงก์เพิ่มเติมไปยังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้ผู้ใช้มีเหตุผลมากขึ้นในการคลิกเข้าโฆษณาของคุณ
- Location Extensions รวมที่ตั้งร้านค้า/ธุรกิจและหมายเลขโทรศัพท์ไว้ในโฆษณาของคุณ เพื่อให้ Google สามารถแสดงให้ผู้ค้นหารู้ว่าจะจเอธุรกิจของคุณได้จากที่ไหน ส่วนขยายนี้ทำงานได้ดีกับข้อความค้นหาอย่าง “… ใกล้ฉัน”
- Offer Extensions ถือว่าเหมาะสุดๆ ถ้าคุณกำลังจัดแคมเปญโปรโมทด้วย Google Ads ซึ่งจะสามารถดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกโฆษณาของคุณมากกว่าโฆษณาที่คล้ายกันจากคู่แข่งของคุณ
วิธีโฆษณาบน Google เพื่อโปรโมทธุรกิจของคุณ
การเริ่มต้นใช้งาน Google Ads สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยแพลตฟอร์ม Google Ads จะพาคุณผ่านแต่ละขั้นตอนและให้คำแนะนำไปพร้อมกัน คลิกเริ่มทันทีเพื่อเริ่มสร้างโฆษณา Google หากคุณมีข้อความโฆษณาและรูปภาพประกอบ (หากคุณกำลังสร้างโฆษณาแบบรูปภาพ) การตั้งค่าโฆษณาแต่ละรายการจะใช้เวลาประมาณ 10 นาที ฉันขอแนะนำให้คิด Ad Headline และ Ad Text ไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อให้คุณสามารถคัดลอกและวางลงช่องที่เกี่ยวข้องได้ทันที
ต่อไปนี้เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้แน่ใจว่า Google Ads ถูกตั้งค่าอย่างถูกต้อง
- เชื่อมต่อบัญชี Google Analytics ถ้าคุณตั้งค่า Google Analytics สำหรับเว็บไซต์ของคุณ คุณจะสามารถเชื่อมต่อบัญชี Analytics ของคุณกับบัญชี Google Ads เพื่อติดตามและวิเคราะห์แคมเปญของคุณพร้อมกับจำนวนคนเข้าเว็บไซต์ ใครตอบสนองต่อโฆษณาบ้าง และเป้าหมายทั้งหมดในที่เดียวเมื่อทำกูเกิ้ลแอด
- เพิ่มรหัส UTM และตั้งค่าการติดตามแคมเปญ Google ใช้โค้ด Urchin Tracking Module (UTM) เพื่อติดตามกิจกรรมใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับลิงก์ต่างๆ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากรหัส UTM ของคุณ คุณควรเพิ่มรหัสลงในโฆษณาของคุณลงในแคมเปญเมื่อใช้ Google Ads เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องสร้าง URL ของแต่ละโฆษณาด้วยตัวเอง
อ่านโพสต์ล่าสุดเกี่ยวกับวิธีตั้งค่าการติดตามแคมเปญ Google Analyticsของฉัน สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม
- เลือกตำแหน่งเป้าหมาย ในระหว่างขั้นตอนการตั้งค่า Google Ads คุณจะต้องเลือกตำแหน่งคุณต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏ หากคุณต้องการโฆษณาสถานที่ธุรกิจจริง คุณก็จะต้องเลือกรัศมีที่อยู่รอบๆ ธุรกิจของคุณ ถ้ากำลังโปรโมทผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับพื้นที่ใดๆ ตำแหน่งที่ตั้งของคุณควรรวมเอาตำบล เมือง หรือจังหวัดที่คุณต้องการกำหนดเป้าหมาย โดยสถานที่ที่คุณเลือกจะมีบทบาทในตำแหน่งการจัดวางโฆษณาของคุณด้วย หากคุณมีร้านค้าในกรุงเทพ ผู้ที่ค้นหาร้านค้าประเภทเดียวกันในจังหวัดอื่นจะไม่เห็นโฆษณาของคุณ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของ Google คือการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องมากที่สุดต่อผู้ค้นหา
- เลือกคีย์เวิร์ด ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ ในการใช้ Google Ads ให้ประสบผลสำเร็จ คีย์เวิร์ดของคุณต้องตรงกับจุดประสงค์ของผู้ค้นหาให้ได้มากที่สุด โฆษณาของคุณจึงจะแสดงสำหรับการค้นหาที่เกี่ยวข้อง โดย Google จะจับคู่โฆษณาของคุณกับสิ่งที่น่าจะเป็นข้อความค้นหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่คุณเลือก ซึ่งกลุ่มโฆษณาแต่ละกลุ่มที่คุณสร้างภายในแคมเปญโฆษณาจะเลือกชุดคีย์เวิร์ด และ Google จะแสดงโฆษณาของคุณตามชุดคีย์เวิร์ดที่เลือกมา
- Match Types เป็นส่วนหนึ่งของการทําโฆษณา Google โดยคุณจะต้องควบคุมประเภทการทำงานของคีย์เวิร์ดเพื่อบอก Google ว่าคุณต้องการจับคู่คำค้นหาทั้งหมดหรือไม่ หรือควรแสดงโฆษณาของคุณต่อใครก็ตามที่ค้นหาที่เกี่ยวข้องกึ่งหนึ่ง ซึ่งก็มี Match Types สี่ประเภทให้เลือกเมื่อทำโฆษณาบน Google:
- Broad Match นี่คือการตั้งค่าเริ่มต้นสำหรับคีย์เวิร์ด และจะใช้คำใดๆ ภายในวลีคีย์เวิร์ดของคุณในลำดับใดก็ได้ ดังนั้น วลีคีย์เวิร์ด “โยคะแพะ โอ๊คแลนด์” จะจับคู่กับ “โยคะแพะ” และ “โยคะ โอ๊คแลนด์”
- Modified Broad Match วิธีนี้ทำให้คุณสามารถล็อกคำบางคำภายในวลีคีย์เวิร์ดได้ด้วยการใส่เครื่องหมาย + ตัวอย่างเช่น “+โยคะแพะ โอ๊คแลนด์” จะจับคู่กับ “แพะ”, “แพะชอบอาหาร” และ “แพะ และ โยคะ”
- Phrase Match เป็น Match Type ที่จะจับคู่คำค้นหาที่มีคีย์เวิร์ดของคุณในลำดับที่แน่นอน แต่ไม่มีคำเพิ่มเติมใดๆ ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังคำนั้นๆ ตัวอย่างเช่น “โยคะแพะ” จะแสดง “โยคะแพะลายจุด” และ “โยคะแพะกับลูกสุนัข”
- Exact Match วิธีนี้จะรักษาวลีคีย์เวิร์ดของคุณตามที่เขียนตามลำดับนั้นทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น “โยคะแพะ” จะไม่แสดงต่อผู้ใช้ที่ค้นหา “แพะโยคะ” หรือ “คลาสเรียนโยคะแพะ”
- Headline และ Ad Copy อีกหนึ่งเรื่องหลักที่คุณจะต้องเชี่ยวชาญเมื่อต้องทําโฆษณา Google คือการทำหัวเรื่องและคำโฆษณาที่น่าดึงดูด เพราะทั้งสองอย่างจะสามารถสร้างความแตกต่างได้มาก ว่าจะมีใครคลิกโฆษณาของคุณหรือของคู่แข่งหรือไม่ และคำโฆษณาของคุณยังต้องตรงกับความตั้งใจของลูกค้าเป้าหมาย สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดของคุณ และระบุจุดอ่อน (Pain Point) ของพวกเขาได้ด้วย
*เครดิตรูปภาพ: HubSpot