Email Marketing ถือเป็นหนึ่งในช่องทางการสร้างความได้เปรียบทางการตลาดที่องค์กรหรือธุรกิจควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน เพราะในตอนนี้การตลอดออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์เป็นที่รู้จักและทำให้เกิดการยอมรับมากขึ้น ทั้งยังเป็นช่องทางหลักในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้กลายเป็นลูกค้าใหม่ๆ ได้อีกด้วย
โดยในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักการทำ Email Marketing ให้มากขึ้น พร้อมอธิบายเทคนิคที่จะช่วยให้ปรับใช้กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงแนะนำขั้นตอนในการทำ เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณก้าวนำเหนือธุรกิจทั่วไปในตลาดได้อย่างยั่งยืน มาเริ่มกันเลย!
Email Marketing คืออะไร?
Email Marketing (อีเมลมาร์เก็ตติ้ง) คือการทำการตลาดผ่านทางอีเมลนั่นเอง โดยคุณในฐานะเจ้าของธุรกิจจะสามารถส่งข้อความสำคัญเพื่อดึงดูดลูกค้าได้พร้อมกันถึงหลักร้อยอีเมล ซึ่งระบบจะไม่นับว่าเป็นการส่งอีเมลสแปมแต่อย่างใด โดยการใช้กลยุทธ์ดังกล่าวอาจจะเกี่ยวข้องกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การนำเสนอโปรโมชั่นให้กับลูกค้าที่สมัครรับบริการข่าวสารผ่านอีเมล ทั้งยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูดให้ลูกค้าที่เคยซื้อ กลับมาซื้อผลิตภัณฑ์ของเราซ้ำได้อีกด้วย
แน่นอนว่าเทคนิคการทำ Email Marketing นั้นสามารถนำไปปรับใช้ได้กับธุรกิจแทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจความงาม ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจเสื้อผ้า ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และอีกมากมายเลยทีเดียว ด้วยยุคสมัยและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ประโยชน์ของอีเมลและการทำการตลาดผ่านอีเมลก็จะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น โดย Email Marketing หรือการตลาดทางดิจิทัลต่างก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
โดยกลยุทธ์หลักๆ ที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อยในยุคดิจิทัลแบบนี้ ก็ได้แก่กลยุทธ์การทำ Content Marketing, Inbound Marketing, SEO หรือ SEM, ไปจนถึงการใช้ Facebook Ads เลยทีเดียว แต่กลยุทธ์ Email Marketing กลับถูกหลายๆ ธุรกิจมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
นี่ถือเป็นกลยุทธ์ที่จะสามารถเพิ่มยอดขายและทำให้ธุรกิจเติบโตได้แบบก้าวกระโดด และจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อปรับใช้กับกลุ่มลูกค้าเดิมให้กลับมาซื้อสินค้าได้อีก เรียกว่าเป็นการเพิ่ม Brand Loyalty ไปในตัวก็คงจะไม่ผิดนัก และนั่นคือความสำคัญของการใช้กลยุทธ์ดังกล่าว
เทคนิค Email Marketing นั้นนอกจากจะใช้เพื่อมัดใจลูกค้าเดิมแล้ว อีกหนึ่งข้อดีของอีเมลรูปแบบดังกล่าวก็คือจะสามารถวัดประสิทธิภาพหรือผลการทำงานได้ด้วยการ Tracking จากลิงก์ที่เราแนบไว้ในอีเมลได้อีกด้วย ซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้ว่ามีคนเข้าชมหรือคลิกเข้าลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่เราให้ไว้จากอีเมลเป็นจำนวนกี่คน
โดยเครื่องมือการ Traking ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในจุดนี้ก็มีให้เลือกใช้มากมาย จนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว และแน่นอนว่าเราก็ไม่พลาดที่จะแนะนำสิ่งดีๆ ให้ผู้อ่านอย่างแน่นอน พร้อมแนะนำ 11 เครื่องมือในการทำ Email Marketing เพิ่มเติมในส่วนด้านล่างไว้แล้วเรียบร้อย
Email Marketing มีประโยชน์อย่างไร
ข้อดีของอีเมลรูปแบบดังกล่าวจะสามารถรักษาฐานลูกค้าเก่าและสร้างลูกค้ารายใหม่ได้อย่างง่ายดาย พร้อมคอยแจ้งข่าวสารไปให้ลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอ แสดงให้เห็นว่าธุรกิจยังคงให้ความสำคัญและยังให้สิทธิพิเศษแก่ลูกค้า ทั้งยังช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจได้อย่างมหาศาล รวมถึงโอกาสในการขายสินค้าและเพิ่มรายได้โดยอัตโนมัตินั่นเอง
โดยเราสามารถยกตัวอย่างประโยชน์ของอีเมลแบบ Email Marketing หลักๆ ได้ดังนี้:
- สามารถใช้ Email Marketing เพื่อส่งอีเมลได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบแบบหน้าเว็บ HTML, ข้อความทั่วไป, และอื่นๆ
- สามารถส่งเมลได้โดยไม่จำกัดจำนวนผู้รับหรือลูกค้า
- สามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินการของอีเมลได้อย่างละเอียด ทั้งยังสามารถตรวจสอบได้ว่ามีผู้อ่านและผู้เปิดอีเมลกี่ฉบับ
- สามารถเก็บข้อมูลการส่งอีเมลไว้เป็นสถิติได้
- เพิ่มโอกาสและช่องทางในการขายมากขึ้น โดย Email Marketing จะสามารถใช้เพื่อแจ้งโปรโมชั่นหรือส่วนลดพิเศษประจำเดือนที่จะดึงดูดให้ลูกค้า ทั้งใหม่และเก่าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายมากขึ้น
- สามารถจำแนกกลุ่มเป้าหมายและคัดกรองลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการตลาดรูปแบบอื่นๆ โดย Email Marketing จะสามารถคัดแยกรายชื่ออีเมลให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเภทได้อย่างง่ายดาย
- สามารถกำหนดงบประมาณในการโฆษณาได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ธุรกิจสามารถจัดสรรเงินค่าการตลาดได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการตลาดทั่วไป
Email Marketing เหมาะกับธุรกิจใด
เราได้อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้วว่า Email Marketing เป็นเทคนิคที่เหมาะกับธุรกิจทุกประเภท แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะมีธุรกิจบางประเภทที่ควรปรับใช้ Email Marketing เป็นช่องทางหลักในการเพิ่มยอดขายและรักษาลูกค้า
ธุรกิจที่ควรใช้ Email Marketing เป็นหลัก ได้แก่:
- ธุรกิจที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น
- ธุรกิจที่ต้องการเป็นผู้นำในตลาดออนไลน์
- ธุรกิจที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า
ความสำคัญของ Email Marketing
ถ้าจะว่ากันตามตรง ธุรกิจ Email Marketing อาจไม่ได้เป็นกลยุทธ์ที่ “ดีที่สุด” แต่อย่างใด เพราะทุกธุรกิจนั้นจะมีความเสี่ยงและวิธีที่เหมาะสมแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของคุณ ในฐานะเจ้าของธุรกิจเองที่จะต้องศึกษากลุ่มเป้าหมายของตนว่ามีพฤติกรรมการซื้ออย่างไรแล้วจึงนำมาปรับใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดนั่นเอง แต่ Email Marketing ก็ยังมีความสำคัญอย่างมากเช่นกัน และเราได้วิเคราะห์ความสำคัญออกมาได้ ดังนี้:
เพิ่มโอกาสในการขายให้มากขึ้น
หลายๆ ธุรกิจในปัจจุบัน มักจะใช้อีเมลเพื่อแจ้งข่าวสารและโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับลูกค้าเป็นประจำทุกเดือน ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายให้มากขึ้น และยังทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย โดยทางผู้ส่งจะสามารถตั้งค่าการส่งให้เฉพาะลูกค้าที่สมัครรับข้อมูลเท่านั้นได้อีกด้วย
สะดวกและรวดเร็ว
Email Marketing เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจประหยัดเวลาในการทำงานลงได้อย่างมหาศาล ด้วยฟีเจอร์การส่งอีเมลหลายฉบับได้ในการกดเพียงคลิกเดียว ทั้งสามารถส่งอีเมลดังกล่าวถึงลูกค้าหรือผู้รับได้ทันทีอย่างรวดเร็วอีกด้วย นอกจากนี้ยังตั้งค่าการส่งอีเมลเฉพาะช่วงวันจันทร์-ศุกร์เท่านั้นได้อีกด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของผู้ส่งมากเกินไปนั่นเอง
ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น
Email Marketing นั้นสามารถควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่าการตลาดออนไลน์แบบทั่วไป และยังสามารถกำหนดงบค่าโฆษณาได้ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่จะมีข้อมูลของลูกค้าอยู่แล้วว่าลูกค้าคนไหนเคยซื้อสินค้าหรือบริการไปมากน้อยแค่ไหน โดยการใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถมุ่งเน้นไปที่การดึงดูดใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าอีกครั้งนั่นเอง เป็นวิธีการสร้างรายได้เพิ่มเติมโดยไม่จำเป็นต้องสร้างลูกค้าใหม่
แบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด
อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าลูกค้าสามารถทำการสมัครรับอีเมลข่าวสารได้ (หากต้องการ) โดยในขั้นตอนนี้ เราจะสามารถจำแนกกลุ่มลูกค้าได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อทำ Email Marketing ให้ตรงจุดและตรงตามความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด ส่วนลูกค้าคนไหนที่ไม่ได้สมัครรับข้อมูลในส่วนนี้เอาไว้ ก็สามารถปรับใช้กลยุทธ์อื่นที่เหมาะสมกับลูกค้าคนนั้นๆ มากขึ้นได้นั่นเอง
ติดตามและวัดผล
กลยุทธ์ Email Marketing ยังสามารถติดติดตามและวัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะสามารถตรวจสอบได้ย้อนหลังได้ว่า อีเมลที่ส่งไปนั้นถึงมือลูกค้าเป็นจำนวนกี่ฉบับ และลูกค้าได้ทำการเปิดอ่านหรือคลิกลิงก์ในอีเมลเป็นจำนวนกี่ครั้ง แน่นอนว่าเราจะสามารถนำข้อมูลที่ได้มาไปปรับและพัฒนาได้ในครั้งถัดๆ ไป
Email Marketing ที่ดีควรเป็นอย่างไร?
หลังจากทำความเข้าใจถึงความสำคัญและความหมายของ Email Marketing กันไปพอหอมปากหอมคอกันแล้ว คำถามถัดมาก็คือ Email Marketing ที่ดีควรเป็นอย่างไรล่ะ? แน่นอนว่าในส่วนนี้ ธุรกิจจะต้องใช้ความเอาใจใส่และเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างมาก เพราะหากมีอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ กลยุทธ์ที่ทำมาทั้งหมดก็อาจจะสูญเปล่าไปในทันที
ขั้นตอนในการทำ Email Marketing
แน่นอนว่าในการเริ่มทำ Email Marketing ให้ได้ผลดีที่สุด เราจะต้องมีขั้นตอนในการทำที่ถูกต้องเสียก่อน และมีเป้าหมายในการปรับใช้เทคนิคดังกล่าวชัดเจน รู้ว่าควรทำเพื่ออะไร และจะใช้ประโยชน์อย่างไรเมื่อสำเร็จ โดยเราก็ได้อธิบายขั้นตอนหลักๆ ในการใช้กลยุทธ์ดังกล่าวไว้ในส่วนด้านล่างแล้วเรียบร้อย
1. วางแผน
ขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น ‘การวางแผน’ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการกำหนดทิศทางการส่งอีเมล ว่าจะส่งให้ใคร และส่งไปเพื่ออะไร โดยสิ่งที่ง่ายที่สุดในการวางแผนขั้นแรกเลยคือการวางตารางการส่งอีเมลเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธุรกิจ ที่สำคัญคือต้องมีการส่งอีเมลให้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการเพิ่มความรับรู้ให้กับกลุ่มลูกค้ามากขึ้นไปอีกระดับนั่นเอง
2. สร้าง Mailing List
อีกขั้นตอนของการทำ Email Marketing คือจะต้องไม่สร้างความรำคาญใจให้กับลูกค้า หากมุ่งแต่จะส่งอีเมลเพื่อหวังยอดเข้าชมสินค้าหรือจำนวนคนคลิกลิงก์เพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ถูกต้องนัก โดยเราสามารถทำ Mailing List ที่ตรงกับรายชื่ออีเมลของลูกค้าที่ทำการสมัครรับข้อมูลข่าวสารไว้แล้วเท่านั้น เพื่อทำการส่งอีเมลให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกจุดและเหมาะสม
3. กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม
ตัวอย่างอีเมลเสนอขายสินค้าจะต้องมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน และในอีเมลทุกฉบับก็ควรมีเป้าหมายในการส่งอีเมลนั้นๆ ตลอดเวลา ว่าอยากให้ลูกค้ามีพฤติกรรมอย่างไรหลังจากอ่านอีเมลที่เราส่งไป ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ หรือจะทำให้ลูกค้าเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดไว้ให้ หรือแค่เป็นการแจ้งข่าวสารใหม่ๆ เป็นต้น
4. วิเคราะห์
มาต่อกันที่ขั้นตอน “การวิเคราะห์” กันบ้าง โดยในการทำ Email Marketing เราจะสามารถวัดประสิทธิภาพของอีเมลที่ส่งไปได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็น จำนวนการเปิดอ่าน จำนวนการคลิกลิงก์ที่แนบไว้ และอีเมลที่ส่งไปสามารถกระตุ้นยอดขายและช่วยเพิ่มจำนวนการขายสินค้าได้หรือไม่นั่นเอง
5. พัฒนากลยุทธ์
หลังจากที่เราทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากอีเมลที่ส่งไปแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายที่ไม่ควรขาดเลยคือ “การพัฒนากลยุทธ์” เพื่อช่วยให้การทำ Email Marketing ได้ผลดีมากขึ้นในครั้งถัดๆ ไป การส่งอีเมลแบบเดิมซ้ำๆ และหวังผลลัพธ์ให้ดีขึ้นนั้น ใช้ไม่ได้ในโลกธุรกิจออนไลน์ และธุรกิจที่ดีก็ควรที่จะสามารถปรับตัวและวางกลยุทธ์ตามความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในอนาคตนั่นเอง
แนะนำเครื่องมือในการทำ Email Marketing
อย่างที่เราได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่า ตอนนี้มีเครื่องมือในการทำ Email Marketing มากมายในตลาด และการจะเลือกสักเครื่องมือมาใช้ก็อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก เราจึงจะมาแนะนำเครื่องมือที่เหมาะกับมือใหม่มาให้ใช้งานกัน โดยเครื่องมือส่วนใหญ่ที่เราแนะนำในบทความนี้ คุณจะสามารถใช้งานได้ฟรี ซึ่งถ้าคุณเริ่มชำนาญในการทำ Email Marketing แล้วก็สามารถศึกษาเครื่องมือแบบเสียเงินด้วยตนเองต่อได้เลย แต่สำคัญคือควรจำไว้เสมอว่าเครื่องมือที่ดีควรประกอบไปด้วย
- Workflows – เพื่อช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อนลงไป ทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถจัดการงานได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
- Email Templates – เครื่องมือที่มีเทมเพลตสำเร็จรูปสำหรับพร้อมใช้งานจะสามารถลดระยะเวลาการทำงานลงได้อย่างมาก เปิดโอกาสให้คุณสามารถใช้เวลาไปกับการคิดไอเดียและสร้างสรรค์รูปแบบข้อความได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- A/B Testing – การทำ A/B Testing จะช่วยจะช่วยให้ผู้ใช้งานเกิดประสบการณ์การใช้งานที่ดีได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสที่จะเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย
- Real-time Analytics – เครื่องมือที่ดีควรจะสามารถตรวจสอบข้อมูลและวิเคราะห์ผลได้แบบเรียลไทม์ อาทิเช่น อัตราการเปิดอีเมล, อัตราการคลิกลิงก์, หรืออัตราการมีปฏิสัมพันธ์ในส่วนอื่นๆ
ทั้งกระแสและการทำการตลาดก็ต่างมีการพัฒนาไปตามกาลเวลา แม้ว่ากระแสบางอย่างจะมาและไปอย่างรวดเร็ว แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเครื่องมือ Email Marketing เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ไม่มากก็น้อย แม้ว่านี่จะเป็นเทคนิคที่หลายๆ ธุรกิจในไทยไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่สำหรับเหล่านักการตลาดแบบ B2B นั้นเหมือนเป็นหนังสือคนละเล่มก็คงจะไม่ผิดนัก โดยมี นักการตลาด B2B กว่า 87% ที่ใช้เครื่องมือดังกล่าวในการดึงดูดลูกค้า
เครื่องมือ Email Marketing ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถขยายช่องทางการตลาดอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม นักการตลาดหลายคนก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายในการใช้เครื่องมือดังกล่าว โดยหนึ่งในความท้าทายที่ลายคนพบเจอก็คงจะหนีไม่พ้นในเรื่องของการสร้างอีเมลที่น่าดึงดูด ซึ่งเราได้อธิบายเอาไว้แล้วว่าด้วยเครื่องมือที่ดี ก็จะช่วยอำนวยความสะดวกในส่วนนี้ได้ไม่มากก็น้อย และอาจส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในการทำการตลาดรูปแบบนี้เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
บางธุรกิจจึงเลือกที่จะไม่ใช้เครื่องมือดังกล่าวเพราะไม่ต้องการลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในส่วนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เครื่องมือ Email Marketing ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเสมอไป เพราะคุณยังสามารถใช้งานเครื่องมือดังกล่าวได้แบบฟรีๆ ผ่านซอฟต์แวร์ที่คุณสามารถหาได้ทั่วไป และเราก็ขอแนะนำ 11 เครื่องมือในการทำ Email Marketing ที่จะช่วยประหยัดเวลาและเงินทุนของคุณ!
1. HubSpot Email Marketing
HubSpot คือเครื่องมือ Email Marketing ที่ดีที่สุดที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นาน ทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการทำธุรกรรมของธุรกิจขนาดเล็ก
ไม่ว่าคุณจะต้องการส่งอีเมลเสนอโปรโมชั่นขาย อีเมลขอบคุณหลังทำการซื้อ หรือจะโปรโมตแคมเปญในปัจจุบัน ตัวเวอร์ชันฟรีของ ซอฟต์แวร์ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย โดยหนึ่งในส่วนที่ดีที่สุดของเครื่องมืออีเมลฟรีของ HubSpot ก็คือใช้งานง่าย ทั้งยังมีฟีเจอร์ในการลากและวางรูปภาพที่สะดวกและยังมาพร้อมกับเทมเพลต (Template) แบบสำเร็จรูปเพื่อให้ได้ใช้งานได้ทันที
สิ่งที่ทำให้ HubSpot โดดเด่นขึ้นมาคือการผสานรวมเข้ากับเครื่องมือ HubSpot อื่นๆ เช่น CRM แบบถาวะ เมื่อคุณสมัครบัญชี คุณก็จะสามารถเข้าถึงเครื่องมือทั้งสองเพื่อให้คุณสามารถสร้างฐานข้อมูลผู้ติดต่อได้แบบรวมศูนย์ จัดระเบียบอีเมลลูกค้าเป็นรายการ พร้อมทั้งจัดการและติดตามผลการดำเนินการของอีเมลที่ส่งไป
2. Sender
Sender เป็นหนึ่งในเครื่องมืออีเมลมาร์เก็ตติ้งแบบฟรีที่ดีที่สุดในตลาดพร้อมฟีเจอร์ที่ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับผลการติดตามที่แน่นอน ตัวเครื่องมัวยังช่วยให้คุณสร้างจดหมายข่าวที่น่าสนใจโดยไม่ต้องใช้ความรู้เรื่อง HTML เพียงเลือกจากเทมเพลตและปรับแต่งด้วยองค์ประกอบต่างๆ เช่น รูปภาพ วิดีโอ และข้อความ คุณยังสามารถปรับแต่งจดหมายข่าวของคุณสำหรับผู้รับแต่ละรายเพื่อทำให้อีเมลน่าจดจำยิ่งขึ้นได้อีกด้วย
ฟีเจอร์การวิเคราะห์ที่มีประสิทธิภาพของ Sender เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้เครื่องมือนี้เข้ามาอยู่ในรายการของเรา โดยตัวฟีเจอร์จะช่วยให้คุณติดตามว่าใครเปิดอีเมลของคุณและคลิกลิงก์บ้าง เปิดตอนไหน และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังช่วยให้คุณสร้างโปรไฟล์ผู้ซื้อที่แม่นยำตามการกระทำของสมาชิกที่สมัครรับอีเมลจากคุณ ดังนั้นคุณจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกลยุทธ์อีเมลของคุณและสร้างข้อเสนอที่น่าสนใจได้อย่างง่ายดาย
3. Sendinblue
Sendinblue เป็นแพลตฟอร์มที่มีทั้งเครื่องมือการตลาดผ่านอีเมลและฟังก์ชันเพิ่มเติม เช่น การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า และการสร้างหน้า Landing Page ด้วยเทมเพลตที่ถูกออกแบบมากกว่า 70 แบบ ฟังก์ชันการออกแบบอีเมลของ Sendinblue ก็ทำให้อีเมลมีความดูดีเป็นเรื่องง่าย นอกจากนี้ เทมเพลตเหล่านี้ทั้งหมดยังสามารถตอบสนองได้อีกด้วย และคุณสามารถดูตัวอย่าง Email เสนอขายสินค้าคุณเพื่อให้แน่ใจว่าการออกแบบของคุณมีลักษณะตามที่คุณต้องการบนหน้าจอทุกรูปแบบหรือไม่ได้อีกด้วย
หลังจากที่คุณออกแบบอีเมลเสร็จเรียบร้อย คุณก็จะสามารถใช้ฟีเจอร์ต่างๆ เช่น A/B Testing และรายชื่อผู้รับแบบแบ่งกลุ่ม เพื่อให้คุณสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์และเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ พร้อมทั้งกำหนดกลุ่มเป้าหมายในอุดมคติของคุณได้ด้วยตนเอง
4. Omnisend
Omnisend เป็นแพลตฟอร์มการตลาดอีคอมเมิร์ซที่สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ง่ายดาย ทั้งยังรวมเอาแพลตฟอร์มการติดต่อสื่อสารทั้งหมดของคุณไว้ในที่เดียว แม้ว่าแผนบริการแบบฟรีจะมีเฉพาะอีเมลเท่านั้น แต่ก็มากเกินพอที่จะรองรับการทำอีเมลมาร์เก็ตติ้งไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง พร้อมเปิดโอกาสให้คุณสามารถส่งอีเมลได้โดยอัตโนมัติโดยใช้ตัวกระตุ้นพฤติกรรม และกำหนดเวลาการส่งอีเมลของคุณได้อย่างง่ายดายตามความสะดวกของลูกค้า
คุณสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมายที่ครอบคลุมเพื่อส่งอีเมลที่มีความเกี่ยวข้องกับลูกค้ามากขึ้นได้อีกด้วย พร้อมให้คุณได้ออกแบบอีเมลข่าวที่น่าสนใจโดยใช้ฟีเจอร์ที่จะช่วยประหยัดเวลาได้มหาศาล เช่น ฟีเจอร์ Product Picker ที่จะเปิดโอกาสให้คุณได้เลือกผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่คุณต้องการรวมไว้ในอีเมลของคุณ คุณยังสามารถรวมบัตรขูด รหัสคูปองส่วนลด และกล่องของขวัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอีเมลของคุณให้ดียิ่งขึ้นได้อีกด้วย
5. SendPulse
แม้ว่า SendPulse จะเคลมว่าตัวเองเป็นแพลตฟอร์มการตลาดแบบหลายช่องทาง แต่ฟีเจอร์ Email Marketing ก็ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุด มาพร้อมกับเทมเพลตอีเมลที่ถูกออกแบบมาอย่างมืออาชีพมากมายที่คุณสามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดายโดยใช้เครื่องมือแก้ไขแบบลากและวาง คุณยังสามารถตั้งค่าอีเมลที่กำหนดเองเหล่านี้ให้ส่งออกโดยอัตโนมัติในเวลาที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้ใช้ ทริกเกอร์เหตุการณ์ และตัวแปรอื่นๆ ได้ด้วย
ฟีเจอร์การให้คะแนนสำหรับผู้สมัครรับอีเมลของ SendPulse ยังถือเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการระบุสมาชิกที่มีคุณค่ามากที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์อัตราการเปิดอีเมลและคลิกลิงก์ตลอดจนอัตราการอ่านและยังไม่ได้อ่านของสมาชิกแต่ละรายได้ คุณยังสามารถตั้งค่าช่องข้อความที่สามารถทดแทนได้เพื่อปรับแต่งอีเมลของคุณตามชื่อ เพศ วันเกิด อายุ และหน้าที่การงานของลูกค้าแต่ละคน
6. Benchmark Email
Benchmark Email เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเครื่องมือ Email Marketing ในด้านการออกแบบอีเมลแบบตอบสนองที่ดูดีไม่ว่าผู้รับจะเปิดอ่านอีเมลบนอุปกรณ์ใดก็ตาม ถ้าคุณต้องการเพิ่มรูปภาพลงในอีเมล คุณก็สามารถแก้ไขรูปภาพได้บนแพลตฟอร์มโดยตรงได้ด้วยเครื่องมือแก้ไขอีเมลที่จะเปิดโอกาสให้คุณได้เพิ่มเอฟเฟกต์ สติ๊กเกอร์ และข้อความเพื่อส่งอีเมลของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คุณยังสามารถเลือกเทมเพลตที่ออกแบบไว้ล่วงหน้ามากมายตามรูปแบบอุตสาหกรรม ประเภท และโอกาส ถ้าคุณต้องการเข้าใจในเรื่องหน้าเว็บแบบ HTML มากขึ้น คุณก็สามารถใช้โปรแกรมแก้ไขโค้ดเพื่อสร้างอีเมลตั้งแต่เริ่มต้นได้เอง ส่วนฟีเจอร์มุมมองแบบคู่ก็จะเปิดโอกาสให้คุณได้เห็นการออกแบบอีเมลของคุณในขณะที่คุณกำลังแก้ไขอยู่ ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการสร้างอีเมลทั้งหมดง่ายยิ่งขึ้น
7. Mailchimp
Mailchimp เป็นผู้นำด้านเครื่องมือ Email Marketing ที่คุณคงเคยได้ยิน โดยแผนบริการแบบฟรีจะรองรับฟีเจอร์สำหรับส่งอีเมลขั้นพื้นฐาน เช่น การสร้างและตั้งเวลาอีเมล และอีกสิ่งที่ทำให้ Mailchimp เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมเลยก็คือฟีเจอร์ Smart Recommendation ที่จะให้ข้อมูลเชิงลึกที่ใช้ได้จริงสำหรับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาดของคุณให้มากยิ่งขึ้น
การออกแบบอีเมลบนแพลตฟอร์มนั้นก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายโดยใช้ระบบจัดการเนื้อหา ซึ่งคุณสามารถจัดเก็บรูปภาพและไฟล์ของคุณเพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น โดย Mailchimp จะเปิดโอกาสให้คุณสามารถสร้างอีเมลแบบอัตโนมัติในจังหวะสำคัญที่ลูกค้าทำการตัดสินใจซื้อ ดังนั้น คุณจึงสามารถส่งอีเมลต้อนรับ การยืนยันคำสั่งซื้อ การแจ้งเตือนตะกร้าสินค้าที่ถูกละทิ้ง และอื่นๆ ได้อย่างง่ายดายนั่นเอง
8. MailerLite
Sophisticated มีเครื่องมือสร้าง Landing Page และเครื่องมือปรับแต่งป๊อปอัพทำให้ MailerLite เป็นเครื่องมือที่โดดเด่นในตลาด นอกเหนือจากเครื่องมือพื้นฐานอย่างเครื่องมือสร้างอีเมลแบบลากและวางแล้ว ตัวเครื่องมือยังมาพร้อมกับโปรแกรมแก้ไขข้อความที่หลากหลายและโปรแกรมแก้ไขรูปภาพในตัวเพื่อสร้างอีเมลที่น่าสนใจ
คุณสามารถสร้างหน้า Landing Page แบบโต้ตอบเพื่อให้ตรงกับอีเมลที่คุณส่ง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเพิ่ม Conversion โดยคุณสามารถทำการทดสอบแยกกับอีเมลรูปแบบต่างๆ เพื่อดูว่าอีเมลแบบไหนที่สามารถกระตุ้นการคลิกและ Conversion ได้มากที่สุด MailerLite ยังรองรับการรายงานแคมเปญที่ครอบคลุมซึ่งประกอบด้วยสถิติที่สำคัญ เช่น อัตราการคลิก อัตราการยกเลิกการสมัคร อัตราการเปิด และอื่นๆ
9. Mailjet
Mailjet มาพร้อมกับเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและทำงานร่วมกันได้เพื่อเปิดโอกาสให้คุณสร้างแคมเปญ Email Marketing ที่มีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการปรับแต่งเทมเพลตที่ออกแบบไว้ล่วงหน้าและสร้างอีเมลโต้ตอบเพื่อสร้างความประทับใจให้ผู้รับไม่ว่าพวกเขาจะใช้อุปกรณ์แบบใดก็ตาม หากคุณทำงานร่วมกับทีม คุณก็คงจะชื่นชอบฟีเจอร์การทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ของแพลตฟอร์มที่ช่วยให้การทำงานร่วมกันราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ตัวเครื่องมือยังเปิดโอกาสให้คุณสามารถเพิ่มเนื้อหาแบบไดนามิกเพื่อให้คุณสามารถสร้างอีเมลที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับผู้รับแต่ละคนได้ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่จะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้นจากแคมเปญของคุณเอง คุณยังสามารถรวมแพลตฟอร์มเข้ากับ CRM ของคุณและจัดการรายชื่อผู้รับอีเมลของคุณได้อย่างง่ายดายผ่านแดชบอร์ดเดียวอีกด้วย
10. Moosend
Moosend เป็นเครื่องมือ Email Marketing ที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยให้คุณทำงานซ้ำ ๆ โดยอัตโนมัติและประหยัดเวลาได้ โดยคุณสามารถออกแบบแคมเปญอีเมลเชิงพฤติกรรมตามข้อมูลและกิจกรรมของสมาชิกของคุณได้ ทั้งยังสามารถใช้ฟีเจอร์การแบ่งส่วนขั้นสูงเพื่อส่งอีเมลที่มีความแม่นยำสูงถูกส่งไปยังผู้รับแต่ละคน พร้อมเพิ่มอัตราการเปิดและอัตราการคลิกลิงก์ รวมถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในการตลาดอีกด้วย
ตัวเครื่องมือจะรายงานประสิทธิภาพของแคมเปญโดยละเอียด เพื่อให้คุณสามารถทราบได้ว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญของคุณอย่างไรและรับผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ คุณยังสามารถรวมเข้ากับแอพพลิเคชั่นเพื่อส่งต่อข้อมูลสำคัญระหว่างเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างราบรื่น Moosend ยังถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือแบบฟรีเพียงเครื่องมือเดียวในโลกที่จะมีใส่โลโก้ของโปรแกรมลงในอีเมลของคุณ
11. EmailOctopus
EmailOctopus คือเครื่องมือ Email Marketing ที่สามารถใช่งานได้อย่างง่ายดายและทำงานบนโครงสร้างพื้นฐาน Amazon SES แม้ว่าแผนแบบฟรีจะไม่ได้นำเสนอฟีเจอร์มากมายเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ ในรายการนี้ แต่ก็ถือว่ารองรับการส่งอีเมลได้มากกว่าแผนส่วนใหญ่
คุณสามารถส่งอีเมลได้ไม่จำกัดจากที่อยู่อีเมลได้มากเท่าที่คุณต้องการ ทำให้เป็นโซลูชั่นที่สมบูรณ์แบบสำหรับเอเจนซี่หรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กที่เป็นตัวแทนของแบรนด์อื่น นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับแอพอื่นๆ เช่น MailOptin, WordPress และ Zapier เพื่อให้คุณสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าระหว่างเครื่องมือต่างๆ ได้อย่างราบรื่นนั่นเอง
บทสรุป
Email Marketing ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจและเพิ่มยอดขายได้พร้อมๆ กัน พร้อมเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเสนอขายสินค้าใหม่ นำเสนอโปรโมชั่นเด็ด หรือแจ้งข่าวสารต่างๆ ก็สามารถทำได้ผ่านอีเมล ซึ่งเรียกได้ว่าในโลกยุคนี้ หากขาดช่องทางการติดต่อกับลูกค้าทางออนไลน์ไปแม้แต่ช่องเดียวก็คงเรียกว่าน่าเสียดายแย่
นอกจากนี้การทำ Email Marketing ยังต้องใช้กลยุทธ์มากมายเพื่อให้ลูกค้าได้เปิดอ่านและสามารถตัดสินใจซื้อสินค้านั้นๆ จริงๆ ซึ่งบทความของเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำการตลาดออนไลน์เท่านั้น แน่นอนว่ายังมีเคล็ดลับและปัจจัยอื่นๆ ที่คุณจะต้องศึกษาด้วยตัวเองเพิ่มเติม
วิธีการใช้งานของ Email Marketing นั้นอาจจะมีข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนกับการใช้สื่อโซเชียลหรือการทำการตลาดแบบอื่นๆ แต่หัวใจหลักของการทำการตลาดก็คือการสร้างและให้คุณค่ากับกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้นและมีช่องทางการติดต่อกับลูกค้าเพิ่มเติม เพื่อทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปนั่นเอง