การสร้างพอร์ตการลงทุนเมื่อมีเงินเก็บ 3 ล้านจะต้องมีการศึกษาเชิงลึกในแง่ของการเลือกตลาดที่เหมาะสม ซึ่งแนวทางที่ดีที่สุด คือ การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลายประเภท เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนสูงสุด
ในคู่มือนี้ เราจะพูดถึงว่าเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด ในปี 2024 ด้วย 10 วิธีที่แตกต่างกัน ดังนี้
10 วิธีที่ดีที่สุด ถ้ามีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีในปี 2024
10 วิธีทำให้ให้เงินงอกเงย สามารถดูได้ในรายการด้านล่างนี้:
- Sponge V2– วิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี ซึ่งเป็นการลงทุนในเหรียญคริปโตที่เป็นนวัตกรรม
- หุ้น – ลงทุนในตลาดหุ้นโดยเลือกเป็นรายบริษัท
- กองทุนดัชนี – ลงทุนในกองทุนดัชนีที่ซื้อขายครั้งเดียว
- REITs – ลงทุนในพอร์ตอสังหาริมทรัพย์
- Copy Trading – ลงทุนอัตโนมัติผ่านเทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์
- ทองคำ – แหล่งสะสมสินทรัพย์เมื่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
- การออมเพื่อเลี้ยงชีพหลังเกษียณอายุ – การลงทุนเพื่อลดภาษี
- การ Staking คริปโต และบัญชีดอกเบี้ยคริปโต – สร้างรายได้แบบพาสซีฟจากการลงทุนคริปโต
- พันธบัตร – ลงทุนในพันธบัตรหลากหลายเพื่อสร้างรายได้แบบพาสซีฟ
- พอร์ตการลงทุนอัจฉริยะ – ลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่ได้รับการจัดการจากมืออาชีพ
ลองอ่านบทวิเคราะห์ที่ครอบคลุมของเรา เกี่ยวกับการลงทุนเมื่อมีเงินเก็บ 3 ล้าน ก่อนตัดสินใจลงทุน
รีวิวเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด
การตัดสินใจว่า มีเงิน 3 ล้าน ทำอะไรดีไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้ คือ นักลงทุนไม่ควรลงเงินก้อน 3 ล้านบาทในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว
ในทางตรงกันข้าม ควรกระจายเงินลงทุน 3 ล้านบาทไปยังสินทรัพย์หลายประเภททั้งในและต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ เราจะมาดู 10 วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนเมื่อมีเงินเก็บ 3 ล้าน
ให้ละเอียดยิ่งขึ้น
1. Sponge V2 – วิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี ซึ่งเป็นการลงทุนในเหรียญคริปโตที่เป็นนวัตกรรม
วิธีหลักเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี คือ การลงทุนในโครงการคริปโตอย่าง Sponge V2 เหรียญมีมอนาคตไกลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการ์ตูนชื่อดัง และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง
ความสนใจในวงกว้างน่าจะทำให้เหรียญนี้ราคาเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีความเสี่ยงสูงตามมาด้วย แต่นักลงทุนหลายคนก็สนใจที่จะเสี่ยงในเหรียญเหล่านี้ เพื่อโอกาสการรับผลประโยชน์ที่เติบโตขึ้นได้มากถึง 100 เท่า เหมือนอย่างที่เหรียญมีมที่ประสบความสำเร็จมาก่อนสามารถทำได้ เช่น Bonk ที่ได้กำไรอย่างถล่มทลายหลังการลิสบน Coinbase และ Binance แล้ว
แม้ว่า $SPONGE จะเคยถูกลิสใน MEXC, Gate.io, Bitget รวมถึงแพลตฟอร์ม CEX และ DEX อื่น ๆ แต่การลิสบนกระดานเหล่านี้ยังไม่ใช่กระดานแลกเปลี่ยนยอดนิยมของคนทั้งโลก ดังนั้น หากการพัฒนาเหรียญ V2 ประสบความสำเร็จ โอกาสที่จะถูกลิสในกระดานเทรดใหญ่ ๆ ก็ย่อมเป็นไปได้ และนั่นคือจุดเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้โอกาสในการเติบโตพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว
การพัฒนา Sponge V2 ไม่ได้เป็นเพียงเหรียญมีมทั่วไปอีกต่อไป เพราะกำลังจะกลายเป็นโทเค็นหลักของแอปเกม Sponge ที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้น การเริ่มลงทุนตั้งแต่ตอนนี้จึงน่าจะเพิ่มโอกาสการทำกำไรได้มากกว่า ซึ่งทุกท่านสามารถรับ Sponge V2 ได้จากการ Stake โทเค็น Sponge V1 บนเว็บไซต์ Sponge.vip
ทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากจะลงทุนด้วยเงิน 3 ล้านบาท จึงควรมี Sponge V2 อยู่ด้วย หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม สามารถอ่านเอกสารไวท์เปเปอร์ Sponge V2 เพื่อหาข้อมูลและเหตุผลทั้งหมดที่ควรจะลงทุนในเหรียญนี้ ใครไม่อยากพลาดรับผลตอบแทน APY สูงที่สุดในตลาดเหรียญมีม ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ เพราะจนถึงขณะนี้ มีโทเค็นมากกว่า 1.2 ล้านโทเค็นที่ถูกเพิ่มเข้ามาในกองทุนนี้แล้ว
เพดานเงินทุน
ไม่ระบุ
โทเค็นทั้งหมด
150 พันล้าน
โทเค็นในช่วงพรีเซลล์
ไม่ระบุ
Blockchain
เครือข่าย Ethereum
ประเภทโทเค็น
ERC-20
เงินลงทุนขั้นต่ำ
ไม่มี
ซื้อได้ด้วย
ETH, USDT, Card
2. หุ้น – ลงทุนในตลาดหุ้นโดยเลือกเป็นรายบริษัท
อีกทางเลือกหนึ่งที่ควรพิจารณาเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี ก็คือ การลงทุนในตลาดหุ้น ที่สามารถซื้อได้จากที่บ้านอย่างสะดวกสบาย และไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชันการซื้อขายใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ซื้อหุ้น จากโบรกเกอร์บางราย เช่น eToro
การลงทุนในหุ้นควรพิจารณาการสร้างพอร์ตที่หลากหลาย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ยิ่งเพิ่มบริษัทและอุตสาหกรรมเข้าไปในพอร์ตการลงทุนมากขึ้นเท่าไหร่ นักลงทุนก็สามารถลดความเสี่ยงในระยะยาวได้มากเท่านั้น โดยจุดเริ่มต้นที่ดี คือ การดูว่าหุ้นหลักเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีในทุกสภาวะเศรษฐกิจหรือไม่
เหตุผลก็คือ หุ้นหลักควรจะต้องขายสินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น Walmart เป็นตัวอย่างที่ดีของหุ้นหลัก เช่นเดียวกับ Johnson & Johnson, Coca-Cola และ British American Tobacco เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์เหล่านี้ แทบจะไม่ลดลงในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเลย
เป็นความคิดที่ดีที่จะใช้เวลามองหาหุ้นที่ถูกประเมินค่าต่ำ เช่น Coinbase ซึ่งราคาลดลง 80% จากราคา IPO และล่าสุด Meta Platforms อย่าง Facebook ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นไปได้ เพราะลดลง 58% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
Growth stock มักได้รับความสนใจจากนักลงทุนเช่นกัน เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มักให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูด ซึ่งอุตสาหกรรมหนึ่งที่ต้องพิจารณา คือ กัญชาถูกกฎหมาย โดยมีบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้ ได้แก่ Curaleaf , Canopy Growth Corporation และ Aurora Cannabis ซึ่งทั้งหมดซื้อขายได้ในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าตลาด
ในขณะที่ Growth stock เสนอโอกาสในการกำหนดเป้าหมายกำไรที่น่าสนใจได้ดี ดังนั้น พอร์ตการลงทุนที่หลากหลายก็ควรเลือกหุ้นคุณภาพสูงติดไว้ด้วย เพราะมีตัวอย่างหุ้นบลูชิพมากมายที่ผ่านตลาดซบเซามาได้หลายครั้ง และเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างของหุ้นบลูชิพยอดนิยม ได้แก่ Procter & Gamble, 3M, Cisco Systems, Intel และ American Express นักลงทุนบางรายจะใช้แนวทางแอกทีฟมากขึ้นในตลาดหุ้น โดยลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมที่กำลังได้รับความนิยม ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมพลังงาน
ซึ่งหมายความว่า ปัจจุบันมีบริษัทน้ำมันและก๊าซหลายแห่ง ที่มีผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้น เช่น Shell, Devon Energy และ Exxon Mobil ที่ทำกำไร 62%, 140% และ 76% ในช่วง 12 เดือนก่อนตามลำดับ
นอกเหนือจากการเพิ่มทุนแล้ว นักลงทุนควรพิจารณาหุ้นปันผล เมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีด้วย บริษัทน้ำมันและก๊าซที่กล่าวมาข้างต้น เสนอเงินปันผลที่น่าดึงดูด โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อเนื่องที่ 3.59%, 6.59% และ 3.65% ตามลำดับ ซึ่งมีความผันผวนค่อนข้างสูง
Dividend stock เหล่านี้ คือ หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสอย่างน้อย 50 ปีติดต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการเพิ่มขนาดของเงินที่จ่ายในแต่ละปีมานานกว่า 5 ทศวรรษ ซึ่งเป็นวิธีที่มั่นคงในการสร้างรายได้จากเงินปันผล นอกเหนือจากกำไรจากเงินทุน
เรียนรู้เพิ่มเติม : ผู้ที่มีเงินลงทุน 3 ล้านบาท อาจลองอ่านคำแนะนำใน การลงทุนหุ้นของเรา
3. กองทุนดัชนี – ลงทุนในกองทุนดัชนีที่ซื้อขายครั้งเดียว
ในส่วนข้างต้น เราได้พูดคุยถึงหุ้นประเภทต่าง ๆ มากมายสำหรับนักลงทุน อย่างไรก็ตาม กระบวนการลงทุนเลือกหุ้นเป็นงานที่ท้าทายและใช้เวลา โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ เราจึงแนะนำว่าเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด จึงควรลงทุนผ่านกองทุนดัชนี
เพราะนี่เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด กองทุนดัชนีจะติดตามส่วนของตลาดหุ้น ที่ดำเนินการโดยผู้ให้บริการ ETF เช่น Vanguard และ iShares และช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงกองทุนที่หลากหลาย ผ่านการซื้อขายเพียงครั้งเดียวได้ ผู้ให้บริการกองทุนจะซื้อหุ้นแต่ละตัวที่เป็นตัวแทนของดัชนีดังกล่าวด้วยสัดส่วนที่ถูกต้อง
นอกจากนี้ ผู้ให้บริการกองทุนดัชนี จะปรับพอร์ตการลงทุนทุก ๆ 3 เดือน ซึ่งหมายถึงการเพิ่มหรือลดหุ้นแต่ละตัว และอาจเพิ่มหรือลดบริษัทออกจากดัชนี ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ทั้งหมดนี้ได้รับการดูแลโดยผู้ให้บริการกองทุนดัชนี ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า จะได้รับประสบการณ์ที่ราบรื่น
เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกองทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตลาดหุ้นรวมของ iShares ถือว่าคุ้มค่าที่จะพิจารณา เพราะหุ้น แต่ละตัวจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาผ่านการลงทุนเพียงครั้งเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นักลงทุนจะเป็นเจ้าของบริษัททางอ้อมได้มากกว่า 4,000 บริษัท ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน
S&P 500 เป็นอีกตัวเลือกยอดนิยม ซึ่งมีบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐอเมริกา ส่วน Dow Jones ก็คุ้มค่าที่จะลงทุนเช่นกัน แม้ว่าจะประกอบไปด้วยหุ้นบลูชิพเพียง 30 ตัวจากหลากหลายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจเมื่อลงทุนในกองทุนดัชนี ก็คือ ระบบถ่วงน้ำหนักทำงานอย่างไร
โดยพื้นฐานแล้ว ระบบจะกำหนดจำนวนเงินที่กองทุนดัชนีจะต้องมีต่อหุ้นแต่ละตัว โดยพิจารณาจากจำนวนเปอร์เซ็นต์ หากใช้ดัชนีตลาดหุ้นรวมของ iShares ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้เป็นตัวอย่าง จะพบว่าภายในพอร์ตการลงทุนนี้ จะมีสัดส่วนของหุ้น Apple, Microsoft และ Berkshire Hathaway ที่ 6.1%, 4.9% และ 1.2% ตามลำดับ
ซึ่งหมายความว่า การลงทุนเงิน 3 ล้านบาทใน iShares นักลงทุนจะเป็นเจ้าของหุ้น Apple มูลค่า 1.83 แสนบาท, Microsoft 1.47 แสนบาท และ Berkshire Hathaway 36,000 บาท ตามสัดส่วนของหุ้นแต่ละตัว
นอกเหนือจากการเพิ่มทุนแล้ว กองทุนดัชนีส่วนใหญ่ยังจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสให้แก่นักลงทุนอีกด้วย เมื่อพูดถึงค่าธรรมเนียม กองทุนดัชนีจะคิดอัตราส่วนค่าใช้จ่าย ซึ่งโดยปกติจะไม่สูงมาก ตัวอย่างเช่น ดัชนีตลาดหุ้นรวมของ iShares จะเรียกเก็บอัตราส่วนค่าใช้จ่ายเพียง 0.03% ต่อปี
คนที่มีเงิน 10 ล้าน สามารถอ่านคำแนะนำของเรา เรื่อง มีเงิน 10 ล้าน ลงทุนอะไรดีในปี 2024 ได้
4. REITs – ลงทุนในพอร์ตอสังหาริมทรัพย์
นอกจากนี้ REIT (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์) ก็เป็นหนึ่งในแนวทางเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี เพราะ REIT จะช่วยให้นักลงทุนได้สัมผัสกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย และได้รับการจัดการโดยผู้ให้บริการ ETF ซึ่งซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์หลัก
REIT มีหลายประเภท และส่วนใหญ่จะกำหนดเป้าหมายของกลุ่มธุรกิจในอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น Sabra Health Care REIT จะเชี่ยวชาญในการเป็นเจ้าของและการให้เช่าโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ และชุมชนสำหรับผู้สูงอายุ ในขณะที่ REIT อื่น ๆ จะเน้นการดำเนินการเชิงพาณิชย์
ซึ่งอาจรวมถึงห้างสรรพสินค้า สำนักงาน โกดัง และศูนย์กระจายสินค้า นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนใน REIT ที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว REIT จะมียูนิตขนาดใหญ่ในตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายใดก็ตาม
การลงทุนใน REIT ไม่แตกต่างจากการซื้อหุ้นในบริษัท เพราะท้ายที่สุดแล้ว เนื่องจาก REIT มีการซื้อขายผ่าน ETF คุณจึงสามารถลงทุนในโบรกเกอร์ออนไลน์ เช่น eToro ได้ง่าย ๆ นอกจากนี้ เมื่อใช้ eToro ยังสามารถลงทุนที่ขั้นต่ำเพียง 10 ดอลลาร์ และไม่มีค่าคอมมิชชั่นใด ๆ
สิ่งที่ควรทราบอีกประการหนึ่ง คือ กระบวนการลงทุน REIT ทั้งหมดเป็นแบบพาสซีฟ เพราะกองทรัสต์จะมีทีมบริหารอสังหาริมทรัพย์ภายในองค์กร ซึ่งจะดูแลทุกอย่างตั้งแต่การเลือกโครงการที่เหมาะสม การคัดเลือกผู้เช่า ไปจนถึงการเก็บค่าเช่า
ซึ่งจะเหมาะสำหรับนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีประสบการณ์ หรือผู้ที่ไม่มีเวลาบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ นอกจากนี้ REIT ยังให้ทั้งรายได้และกำไรจากการลงทุนอีกด้วย โดยหากเป็นส่วนของรายได้ REIT จะกระจายรายได้จากค่าเช่าให้กับผู้ถือหุ้นในทุกเดือน
ในแง่ของการเพิ่มทุน จะขึ้นอยู่กับ NAV (มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด) ของพอร์ตการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ตามทฤษฎีแล้ว เมื่อทรัพย์สินที่ REIT ถือครองมีมูลค่าเพิ่มขึ้น NAV ก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และเมื่อมูลค่า NAV เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้มูลค่าของ REIT เพิ่มไปตามความเหมาะสม
5. Copy Trading – ลงทุนอัตโนมัติผ่านเทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์
Copy Trading ยังคงเป็นแนวคิดที่ค่อนข้างใหม่สำหรับคนที่มีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี แต่ก็มีโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมอย่าง eToro ที่ให้การบริการฟีเจอร์นี้ และทำให้นักลงทุนสามารถคัดลอกการลงทุนได้อย่างอิสระ
ซึ่งหมายความว่า ผู้ซื้อสามารถใช้ฟีเจอร์ Copy Trading เมื่อใดก็ได้ที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น การลงทุน 10,000 ดอลลาร์ในเทรดเดอร์ที่เก่งเรื่องสินค้าโภคภัณฑ์ และเทรดเดอร์ได้จัดสรรพอร์ตการลงทุน 10% ให้กับทองคำ และ 7% ให้กับเงิน
เมื่อเปิดใช้ฟีเจอร์ ผู้ใช้ eToro จะเห็นทองคำมูลค่า 1,000 ดอลลาร์ และเงิน 700 ดอลลาร์ในพอร์ต จากนั้น สมมติว่าเทรดเดอร์ขายทองคำได้กำไร 15% ผู้ใช้ eToro ก็จะดำเนินการในแบบเดียวกันโดยอัตโนมัติ และทำให้ได้กำไร 150 ดอลลาร์ทันที (15% ของเงิน 1,000 ดอลลาร์)
เมื่อพูดถึงการเลือกเทรดเดอร์ใน eToro จะมีนักลงทุนที่ได้รับการยืนยันให้เลือกเกือบ 93,000 ราย นักลงทุนแต่ละคนจะมีโปรไฟล์ของตนเอง ซึ่งมีรายละเอียดสถิติที่สำคัญทั้งหมด ซึ่งสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาอันดับแรก คือ กำไรที่เทรดเดอร์ทำได้ในแต่ละเดือน ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม eToro
ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุดในการ Copy Trading ซึ่งสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถเลือกเทรดเดอร์ตามประเภทสินทรัพย์ที่ต้องการ เช่น หุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ จากกิจกรรมการซื้อขายของพวกเขา eToro จะกำหนดคะแนนความเสี่ยงให้กับเทรดเดอร์แต่ละราย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สามารถใช้ตามหาเทรดเดอร์ที่เหมาะสมได้
เมื่อพูดถึงปัจจัยพื้นฐาน ไม่มีการแบ่งค่าคอมมิชชันใด ๆ เนื่องจากเทรดเดอร์จะได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยตรงจากโบรกเกอร์ ซึ่งขึ้นอยู่กับจำนวนเงินทุนที่ได้รับการจัดสรร แต่ผู้ใช้ eToro ต้องลงทุนขั้นต่ำ 200 ดอลลาร์ต่อการ Copy Trading แต่ละครั้ง
6. ทองคำ – แหล่งสะสมสินทรัพย์เมื่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะหันไปลงทุนในทองคำซึ่งเป็นโลหะมีค่า แต่ในด้านหนึ่ง ทองคำก็ไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีเทียบเท่ากับตลาดหุ้น
โดยทั่วไป ทองคำจะทำงานได้ดีเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในช่วงซบเซา เช่น ในช่วง Great Recession ซึ่งเริ่มขึ้นในปลายปี 2007 ทองคำมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดหุ้นก็ดิ่งลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดหุ้นเริ่มกลับตัว ทองคำก็จะกลับตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้น ทองคำจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีสำหรับช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ซึ่งในแง่ของการลงทุนในทองคำ วิธีที่ง่ายและคุ้มค่าที่สุด คือ การซื้อผ่าน ETF เช่น iShares Gold Trust ETF เป็นต้น
ETF นี้ได้รับการสนับสนุนจากทองคำแท่ง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนทุกคนลงทุนได้ โดยเฉพาะใน iShares Gold Trust ETF ที่ซื้อผ่าน eToro ได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 10 ดอลลาร์และไม่มีค่าคอมมิชชั่น
ในตัวอย่างนี้ iShares จะดูแลกระบวนการที่จำเป็นทั้งหมด เช่น การขนส่ง จัดเก็บ และประกันราคา นอกจากนี้ มูลค่าของกองทุนยังสอดคล้องกับราคาสปอตในตลาดโลกอีกด้วย
เนื่องจาก ETF ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 จึงได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.34% ต่อปี ในขณะที่ ราคาทองคำ LBMA ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 8.66% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราส่วนราคาต่อเกณฑ์มาตรฐานที่ยอดเยี่ยมมาตลอด 17 ปี
การลงทุนระยะยาวด้วยทองคำผ่าน ETF นั้นคุ้มค่ามาก ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ iShares Gold Trust ETF อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อปีจะอยู่ที่เพียง 0.25% นอกจากนี้ ข้อดีอีกประการหนึ่งของการซื้อ ETF คือ นักลงทุนสามารถถอนการลงทุนในทองคำได้ตลอดเวลา เนื่องจาก ETF จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลัก
7. การออมเพื่อเลี้ยงชีพหลังเกษียณอายุ – การลงทุนเพื่อลดภาษี
เมื่อสงสัยว่า มีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี ? การลงทุนย่อมต้องจ่ายภาษีจากผลกำไรที่ได้ อย่างไรก็ตาม วิธีหนึ่งที่นักลงทุนระยะยาวใช้ในการลดภาษี คือ การออมเพื่อเลี้ยงชีพหลังเกษียณอายุ อย่างในสหรัฐอเมริกา พนักงานสามารถเข้าถึงแผน 401 (k) จากบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่ได้
แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทจะมีข้อเสนอนี้ แต่หากมีจะช่วยเพิ่มข้อได้เปรียบทางภาษีจาก 2 ตัวเลือกหลัก ได้แก่ Roth IRA และ IRA แบบดั้งเดิม
Roth 401 (k) จะเริ่มเก็บภาษีจากการลงทุนตามปกติโดยถูกหัก ณ ที่จ่าย อย่างไรก็ตาม การถอนเงินจาก Roth 401 (k) เมื่ออายุเกษียณ จะไม่มีการหักภาษี
ส่วน IRA แบบดั้งเดิมจะเป็นลักษณะปลอดภาษีเพื่อวัตถุประสงค์ในการลงทุน อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาเกษียณอายุ และต้องการถอนเงินจะต้องชำระภาษีทั้งหมด
ผู้ที่สงสัยว่าจะเลือกใช้แผนแบบไหน ควรพิจารณาว่าพวกเขาตั้งใจจะทำงานไปอีกนานแค่ไหน ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ที่ยังคงเหลือเวลาการทำงานที่นาน มักจะเลือกแบบ Roth แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ๆ การลงทุนแบบนี้ บริษัทจะจ่ายเงินสมทบให้กับพนักงานด้วยเสมอ เช่นเดียวกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของไทย
ตัวอย่างเช่น หากบริษัทสมทบ 5% ต่อปี และพนักงานลงทุนในกองทุนทั้งหมด 20,000 บาท จะได้รับเงินสมทบเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บาทต่อปี
IRA สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากโบรกเกอร์ออนไลน์ และอนุญาตให้มีการลงทุนต่อปีได้สูงสุด 6,000 ดอลลาร์ (หรือ 7,000 ดอลลาร์สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี) แต่เนื่องจาก IRA เข้าถึงได้จากโบรกเกอร์ออนไลน์ นักลงทุนจึงสามารถเข้าถึงสินทรัพย์ได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับ 401 (k)
8. การ Staking คริปโต และบัญชีดอกเบี้ยคริปโต – สร้างรายได้แบบพาสซีฟจากการลงทุนคริปโต
ทั้งการ Staking คริปโต และบัญชีดอกเบี้ยคริปโต คือ การลงทุนรูปแบบเดียวกัน ซึ่งมีแนวคิดเป็นการฝากโทเค็นคริปโตไว้ในกองทุนรวมหรือบัญชีดอกเบี้ย และนักลงทุนจะสร้างรายได้แบบพาสซีฟจากดอกเบี้ยตามปริมาณของเงินฝาก และ APY ที่แตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม
แพลตฟอร์มที่จะเสนอ APY ที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์คริปโตที่ถูกฝากและระยะเวลาฝาก หนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดในตลาด คือ Quint ซึ่งเสนอโปรโตคอล ‘Super stake’ พร้อมรางวัลที่น่าดึงดูด ซึ่งการฝากโทเค็น Quint ลงในกองทุนรวม จะทำให้นักลงทุนได้รับอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่
ไม่เพียงเท่านั้น ทุก ๆ 500 โทเค็นที่ฝากไว้ นักลงทุนจะได้รับตั๋วเข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อลุ้น Bored Ape Yacht Club NFT ฟรี ซึ่งในช่วงตลาดขาขึ้น มีการซื้อขายสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์ และการแข่งขันครั้งก่อน ก็เปิดโอกาสให้คว้ารางวัลเป็นนาฬิกาหรูที่มีมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หลังจากจับรางวัลแล้ว นักลงทุนทุกคนที่ Stake รวมถึงผู้ชนะ จะได้รับเงินฝากก้อนเดิมคืนพร้อมกับดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นวิธีสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล และลุ้นรางวัลได้แบบไร้ความเสี่ยง
ตัวอย่างแพลตฟอร์ม เช่น Crypto.com ที่มีบัญชีดอกเบี้ยคริปโต โดยที่เงินทุนจะถูกนำมาใช้เพื่อการให้กู้ยืมและใช้ในกองทุนสภาพคล่อง ในทางกลับกัน การฝากเงินเข้าบัญชี Crypto.com จะมาพร้อมกับ APY ที่น่าสนใจ และตัวเลือกเงื่อนไข 3 ข้อ ที่แตกต่างกันในด้านของระยะเวลา ตั้งแต่ 1 เดือน 3 เดือน และการถอนเงินที่ยืดหยุ่น
เมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี วิธีการนี้จึงเป็นหนึ่งในคำตอบที่น่าสนใจ เพราะ Crypto.com ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 8.5% สำหรับ USDC, 6% สำหรับ Ethereum และ 5% สำหรับ Bitcoin และเพื่อให้ได้ APY สูงสุด ควรเลือกระยะเวลาที่ 3 เดือน แต่หากเลือกบัญชีที่ถอนเงินได้อย่างยืดหยุ่น จะได้ APY น้อยกว่า
9. พันธบัตร – ลงทุนในพันธบัตรหลากหลายเพื่อสร้างรายได้แบบพาสซีฟ
ผู้ที่สงสัยว่า มีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่จะทำให้ได้รายได้สม่ำเสมอ อาจพิจารณาการลงทุนในพันธบัตร ทั้งการระดมทุนจากบริษัทและรัฐบาล ผู้ที่ซื้อพันธบัตรจะได้รับอัตราดอกเบี้ยคงที่ทุก ๆ 6 เดือน และรับเงินลงทุนคืนเมื่อครบกำหนด
ระยะเวลาพันธบัตรอาจมีอายุตั้งแต่ 2-3 เดือนจนถึงหลาย 10 ปี เมื่อพูดถึงผลตอบแทน ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ความเสี่ยงและระยะเวลา ตัวอย่างเช่น พันธบัตรที่ลงทุนระยะสั้นโดยรัฐบาลจะมีความเสี่ยงน้อยมาก
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่พันธบัตรอายุ 30 ปีที่ออกโดยบริษัทขนาดเล็กอาจมีความเสี่ยงในระดับที่มากขึ้น แต่ให้อัตราดอกเบี้ยที่น่าดึงดูดมากกว่า ซึ่งนี่คือเหตุผลที่นักลงทุนจำนวนมากจะสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยง ระยะเวลา และอัตราผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งวิธีลงทุนในพันธบัตรที่คุ้มค่าที่สุด ก็คือ การลงทุนผ่าน ETF
ETF บางแห่งเสนอการเข้าถึงพันธบัตรที่แตกต่างกันหลายพันรายการ และยังมีโอกาสที่จะได้รับทั้งรายได้และกำไรจากเงินทุนอีกด้วย เหตุผลก็คือ ETF จำนวนมากจะขายการถือครองพันธบัตรก่อนวันครบกำหนด และหากมีกำไร ผู้ลงทุนก็จะได้รับส่วนแบ่งนั้น
ทั้งนี้ นักลงทุนแต่ละคนสามารถรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน โดยหากลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปีด้วยเงิน 3 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ย 3.2% ทุก ๆ 6 เดือน ผู้ลงทุนจะได้รับดอกเบี้ย 48,000 บาท (96,000 บาทต่อปี) และผู้ลงทุนจะได้รับเงินคืน 3 ล้านบาท เมื่อพันธบัตรครบกำหนดในเวลา 5 ปี
10. พอร์ตการลงทุนอัจฉริยะ – ลงทุนในพอร์ตการลงทุนที่ได้รับการจัดการจากมืออาชีพ
วิธีสุดท้ายที่ต้องพิจารณาเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี ก็คือ Smart Portfolio ซึ่งเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์การลงทุนใน eToro โบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมโดย SEC โดยมีแนวคิดหลัก คือ ทีมงานของ eToro จะสร้างพอร์ตการลงทุนสินทรัพย์ที่ได้รับการดูแลจัดการอย่างดี ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อติดตามตลาดที่เฉพาะเจาะจง
พอร์ตการลงทุนอัจฉริยะมีให้เลือกมากมาย ซึ่งทั้งหมดได้รับการจัดการอย่างมืออาชีพ ซึ่งหมายความว่า eToro จะดูแลและถ่วงน้ำหนักของพอร์ต เพื่อให้แน่ใจว่าจะยังคงสอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุน เรามาลองสำรวจ Smart Portfolio ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันกันดีกว่า
เริ่มต้นที่ BigTech Smart Portfolio ซึ่งเน้นไปที่บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เช่น Amazon, Meta Platforms, NVIDIA, Tesla, Apple, Microsoft, Alphabet และ Visa ซึ่งในปี 2019 และ 2020 BigTech Smart Portfolio สร้างกำไรได้ถึง 44.1% และ 44.8% ตามลำดับ
ส่วนในปี 2021 สร้างผลกำไรได้ 23.8% แม้ว่าในปี 2022 การประเมินมูลค่าจะลดลง 29.3% ซึ่งสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก ในขณะที่ Smart Portfolio ยอดนิยมอีกรายการหนึ่ง คือ YieldKing Smart Portfolio ซึ่งตั้งเป้าหมายในการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 4% ต่อปี
พอร์ตการลงทุนของ YieldKing ถือหุ้นปันผล เช่น Disney, BlackRock, Shell, UnitedHealth และ Ford Motors ซึ่งถือหลักการในการกระจายความเสี่ยง และลงทุนขั้นต่ำได้ด้วยเงินเพียง 500 ดอลลาร์ โดยไม่มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม และสามารถถอนการลงทุนได้ตลอดเวลา
วิธีเลือกว่ามีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด
ในส่วนต่อมา เราจะสำรวจปัจจัยที่สำคัญที่สุดเมื่อต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง
สำหรับผู้ที่มีเงิน 20 ล้าน ลงทุนอะไรดี ลองอ่านคำแนะนำฉบับสมบูรณ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2024 ได้
พิจารณากลยุทธ์ระยะยาว
ขั้นตอนแรกเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี คือ การพิจารณากลยุทธ์ระยะยาว ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ติดตามได้
ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนต้องการสร้างแผนการเกษียณอายุ 20 ปี ก็จะต้องประเมินก่อนว่าจะต้องมีอายุถึงเท่าไหร่
หลังจากนั้น ผู้ลงทุนจึงจะสามารถประเมินได้ว่า ต้องลงทุนในตลาดการเงินในแต่ละเดือนเป็นจำนวนเท่าใด
การลงทุนแบบ Passive หรือ Active
สินทรัพย์บางประเภทเอื้อต่อการลงทุนแบบพาสซีฟ ตัวอย่างเช่น เมื่อลงทุนใน ETF หรือกองทุนดัชนี ผู้ให้บริการจะคอยดูแลและปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนในนามของนักลงทุนให้เสมอ
ซึ่งหมายความว่า นักลงทุนไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหรือความพยายามใด ๆ ในการศึกษาตลาด ในทางกลับกัน ผู้ที่ต้องการซื้อคริปโตเคอเรนซี่หรือหุ้น ควรเตรียมพร้อมในการจัดการการลงทุนของตนอย่างจริงจัง
สิ่งนี้จะเป็นไปได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และเวลาที่นักลงทุนมี
การประเมินความเสี่ยง
ก่อนคิดว่ามีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี สิ่งสำคัญคือ ต้องประเมินว่านักลงทุนรู้สึกสบายใจที่จะรับความเสี่ยงได้มากเพียงใด เพราะสินทรัพย์บางประเภทมีความเสี่ยงมากกว่าประเภทอื่น แม้ว่าจะได้รับผลกำไรที่สูงกว่าก็ตาม
- ตัวอย่างเช่น แม้ว่า Ethereum จะมีความผันผวนสูง แต่ราคาของโทเค็นก็เพิ่มขึ้นมาแล้วกว่า 1,600,000% นับตั้งแต่เปิดตัวในปี 2015
- อีกตัวอย่างหนึ่งของสินทรัพย์ที่ถือว่ามีความเสี่ยง คือ หุ้นของ Tesla ซึ่งเปิดตัวสู่สาธารณะครั้งแรกในปี 2010 และเติบโตขึ้นมากกว่า 21,000% นับตั้งแต่ขาย IPO
อย่างไรก็ตาม เมื่อนักลงทุนเพิ่มความเสี่ยง ก็มีผลให้มีโอกาสขาดทุนเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การลงทุนเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ทำอะไรดี จึงควรประกอบด้วยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำร่วมด้วย เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้พอร์ตมากขึ้น
รายได้ และการเติบโต
ตัวชี้วัดอื่นที่ควรพิจารณาเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี ก็คือ การถามตัวเองว่าชอบสินทรัพย์ที่เอื้อต่อรายได้ การเติบโต หรือการผสมผสานของทั้งสองอย่าง
ตัวอย่างเช่น สินทรัพย์คริปโต มักเกี่ยวข้องกับการเติบโต ซึ่งหมายความว่า การจะได้ผลตอบแทนสูง มูลค่าของโทเค็นจะต้องเพิ่มขึ้น
นี่เป็นกรณีของหุ้นที่มีการเติบโตอย่าง Tesla และ Amazon ที่ไม่จ่ายเงินปันผล แต่สร้างกำไรจากเงินเย็นได้มากขึ้นนับตั้งแต่กลายเป็นบริษัทมหาชน
ในทางกลับกัน สินทรัพย์บางอย่าง อาจสร้างรายได้และมีการเติบโตเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ตัวอย่างเช่น พันธบัตร ซึ่งเสนอการจ่ายดอกเบี้ยเพียงเท่านั้น
มีสินทรัพย์ที่ผสมผสานระหว่างรายได้และการเติบโตได้ดี นั่นคือ หุ้นปันผล เนื่องจากหุ้นจะจ่ายผลตอบแทนรายไตรมาส ซึ่งนอกเหนือจากกำไรหากมูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้น
สภาพคล่อง
เทรดเดอร์ที่ไม่มีประสบการณ์ มักไม่คำนึงถึงสภาพคล่อง ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่ต้องคำนึงถึงเมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี
สภาพคล่อง หมายถึง ความยากง่ายในการเปลี่ยนการลงทุนให้เป็นเงินสดเมื่อถึงเวลา ตัวอย่างเช่น หุ้น สกุลเงินดิจิทัล และ ETF จะมีสภาพคล่องสูงมาก เพราะนักลงทุนสามารถถอนได้ทุกเมื่อที่ตลาดเปิด
อย่างไรก็ตาม พันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ ถือว่ามีสภาพคล่องต่ำ เพราะพันธบัตรต้องถือไว้จนกว่าจะถึงวันครบกำหนด และการขายอสังหาริมทรัพย์กำหนดให้นักลงทุนต้องหาผู้ซื้อที่เหมาะสมให้ได้ ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดก็ตาม
วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด – มีเงิน 3 ล้าน ลงทุน อะไรดี 2566?
เมื่อต้องคิดว่า ลงทุนอะไรดีตอนนี้ด้วยเงินเย็น 3 ล้านบาท นักลงทุนอาจพิจารณาเลือกประเภทของสินทรัพย์ที่เราได้พูดคุยกันไปก่อนหน้านี้ เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุนดัชนี และอื่น ๆ
หนึ่งในการลงทุนที่ดีที่สุดที่เราเจอ คือ Sponge V2 ($SPONGE) ซึ่งรับผลตอบแทนได้ง่าย ๆ จากการ Stake โทเค็น ซึ่ง ณ ปัจจุบัน สามารถซื้อ $SPONGE ได้ในราคาพิเศษ
มีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี? – บทช่วยสอนวิธีลงทุนใน Bitcoin Minetrix
การลงทุนเงิน 3 ล้านให้กำไรงอกเงย อาจต้องพิจารณาความเสี่ยงและการเติบโตของตลาด ซึ่งเราแนะนำการซื้อเหรียญคริปโตพรีเซล
ด้านล่างนี้ จะบอกข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการลงทุนใน Bitcoin ETF Token ผ่านการขายพรีเซล ภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที
ขั้นตอนที่ 1- ตั้งค่า Crypto Wallet
ผู้ซื้อต้องแน่ใจว่า พวกเขามีกระเป๋าเงินคริปโต เช่น MetaMask แล้ว (แนะนำให้ผู้ใช้มือถือดาวน์โหลด TrustWallet )
ขั้นตอนที่ 2- เชื่อมต่อกระเป๋าเงินกับการขายพรีเซล
ไปยังหน้าพรีเซลอย่างเป็นทางการของ Sponge V2 ค้นหาและคลิกที่ปุ่ม “ซื้อเลย” จากนั้น เลือกกระเป๋าเงินที่ติดตั้งไว้ (เช่น Metamask หรือ TrustWallet ) และลงชื่อเข้าใช้กระเป๋าเงิน
ขั้นตอนที่ 3- รับ USDT หรือ ETH
นักลงทุนต้องมียอดคงเหลือ USDT หรือ ETH ในกระเป๋าเงินที่เพียงพอ หรือซื้อผ่านบัตรเครดิต
ตอนนี้นักลงทุนสามารถคลิกที่ปุ่มเพื่อซื้อ $SPONGE ได้แล้ว
ขั้นตอนที่ 4- ซื้อโทเค็น $SPONGE
ในขั้นตอนนี้ ผู้ซื้อต้องกรอกจำนวน USDT หรือ ETH ที่พวกเขาต้องการ เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นโทเค็น $SPONGE
ขั้นตอนที่ 5- รับโทเค็น
ในขั้นตอนสุดท้าย ผู้ซื้อต้องยืนยันธุรกรรมหลังจากตรวจสอบจำนวนโทเค็น $SPONGE ที่พวกเขาจะได้รับ และสามารถขอรับโทเค็นได้เมื่อการขายพรีเซลสิ้นสุดลง
สินทรัพย์คริปโตเป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ไม่ได้รับการควบคุมที่มีความผันผวนสูง
บทสรุป – มีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดี
คู่มือนี้ได้อธิบายว่า เมื่อมีเงิน 3 ล้าน ลงทุนอะไรดีที่สุด แต่เพราะการลงทุนย่อมแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เพราะต้องขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการลงทุน และความเสี่ยงที่ยอมรับได้
นอกเหนือจากกองทุนดัชนี ทองคำ หุ้น และพันธบัตรแล้ว เรายังพิจารณาโครงการคริปโตที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งเสนอการขายก่อนลิสในพิเศษ
Bitcoin ETF Token กำลังเสนอขายช่วงพรีเซล โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้มีโอกาสการ Stake โทเค็น $BTCETF และนักลงทุนสามารถรับโทเค็นเหล่านี้ได้ในราคาต่ำสุดเพียง 0.005 ดอลลาร์ต่อโทเค็น