คุณกำลังเครียดกับการสัมภาษณ์งานหรือไม่? และยังไม่รู้ว่านายจ้างจะถามอะไรคุณ ทำให้คุณต้องพยายามเตรียมพร้อมกับการเตรียมตัวสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะจบใหม่หรือมีประสบการณ์การทำงาน ซึ่งมักจะเกี่ยวกับประวัติที่ผ่านมา หรือเหตุผลว่าทำไมคุณถึงอยากได้งานนี้เป็นพิเศษ 

วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานให้ได้งาน ควรมีแผนในการดำเนินการ เพื่อแสดงตัวตนในขณะที่คุณกำลังถูกสัมภาษณ์ได้เต็ม 100% 

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้คุณมั่นใจได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ เช่น การแสดงออก, การสบตา, การยิ้ม และการใช้น้ำเสียงที่น่าเชื่อถือ

เคล็ดลับการสัมภาษณ์งานให้ได้งานเหล่านี้ จะช่วยให้คุณผ่านการสัมภาษณ์ที่ท้าทายได้ หากคุณได้งานทำหลังจากอ่านบทความนี้ อย่าลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นด้านล่าง เพื่อให้เราร่วมเฉลิมฉลองไปกับคุณ!

1. แสดงให้เห็นว่าเป็นคนที่บริษัทมองหา

แทนที่จะเริ่มต้นด้วยทักษะ, จุดแข็ง, จุดอ่อน และประเภทของงานที่คุณต้องการ ให้ลองพิจารณาว่าตัวเองอยู่ในเป้าหมายที่นายจ้างต้องการหรือไม่ พนักงานประเภทใดที่จะ “เหมาะสมที่สุด” ตามลักษณะงาน, ค่านิยม/ผลิตภัณฑ์/บริการของบริษัท และการสื่อสารองค์การ

วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ดี คือ คุณต้องกล้าถามถึงปัญหาที่พวกเขาเคยมีกับพนักงานคนก่อน ๆ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องพูดถึงประเด็นเหล่านั้นในการสัมภาษณ์ จำไว้ว่าคุณอาจต้องการงานที่มีเงินเดือนสูง ๆ และวันลาพักร้อน แต่บริษัทจะสนใจสิ่งที่พวกเขาต้องการมากกว่าสิ่งที่คุณต้องการ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ การค้นหาสิ่งที่พวกเขาต้องการให้เจอก่อน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามที่คุณสามารถทำได้ จากนั้น จึงขายตัวเองว่าคุณเป็นคน ๆ นั้น

ตัวอย่างเช่น หากบริษัทต้องการพนักงานที่เก่งเรื่องการดูแลลูกค้าทางโทรศัพท์และเว็บไซต์ ที่เน้นย้ำถึงความเป็นธุรกิจ “ครอบครัว” และ บริษัทให้ความสำคัญกับพนักงาน คุณก็จำเป็นต้องเน้นไปที่ความสามารถที่นายจ้างกำหนดไว้ และแสดงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ต่อหน้านายจ้างโดยตรง จากนั้น จึงพยายามทำความรู้จักกับพนักงานบางคน เพราะบริษัทไม่เพียงแค่ค้นหาใครบางคนเพื่อมาเติมเต็มช่องว่าง แต่พวกเขายังมองหาคนที่จะมาปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในที่ทำงานด้วย

2. ระบุจุดแข็งที่แท้จริง (ที่ไม่ใช่แค่ทักษะ)

เมื่อพูดถึงจุดแข็ง ผู้คนมักจะให้ความสนใจไปยังทักษะที่ยาก เช่น “ฉันรู้วิธีใช้ Microsoft Excel” “ฉันเป็นนักเขียนที่ดี” หรือ “ฉันเป็นนักพูดในที่สาธารณะที่ดี”

แต่สิ่งสำคัญกว่า คือ การเน้นย้ำทักษะด้านอารมณ์ที่มีศักยภาพ ว่าคุณจะนำอะไรมาเสนอนอกเหนือจาก “คำพูด” และคุณจะอ้างอิงทักษะด้วยเรื่องราวหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยได้อย่างไร?

ตัวอย่างการสัมภาษณ์งานเช่น นายจ้างส่วนใหญ่สนใจมักจะสนใจทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และบางส่วน (ไม่ใช่ทั้งหมด) อาจชอบผู้สมัครตำแหน่งผู้จัดการที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ดังนั้น ถ้าหากคุณกำลังสมัครตำแหน่งผู้จัดการ คุณต้องอธิบายให้ได้ว่า คุณจะเป็นผู้จัดการที่ดีได้อย่างไร

ผู้จัดการที่ดีโดยส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี คุณสามารถบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการที่คุณรับฟังลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงาน เกี่ยวกับบางสิ่งที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในบริษัท และสื่อสารข้อมูลนั้น ๆ ด้วยวิธีเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่อบริษัทในเชิงบวก

อีกตัวอย่างการสัมภาษณ์งานหนึ่ง คือ คุณอาจพูดได้ว่า คุณเป็นคนเรียนรู้เร็ว และเล่าถึงวิธีที่คุณเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตั้งแต่เริ่มต้น (เช่น การเขียนโปรแกรม) หรือเล่าเรื่องที่คุณสมัครเรียนภาคค่ำอย่างแข็งขัน เพื่อให้ได้รับการรับรองในบางสาขาวิชา

เรื่องราวที่คุณเล่าต้องเป็นความจริง และการเตรียมเรื่องราวไว้ล่วงหน้า จะช่วยให้คุณสามารถเล่าเรื่องได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นทักษะ “ความรู้” หรือ “อารมณ์” ซึ่งจะเป็นวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ช่วยเพิ่มความสำเร็จ และบ่งชี้ความสำเร็จในอนาคตได้เป็นอย่างดี

3. หาคำตอบให้ตรงกับคำถาม

คุณเคยสังเกตหรือไม่ว่า ไม่ว่านักการเมืองจะถูกถามคำถามใด พวกเขามักจะมีคำตอบที่ดีเสมอ แม้จะไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าก็ตาม

เนื่องจากนักการเมืองส่วนใหญ่ และแม้แต่ดาราชื่อดังที่ต้องให้สัมภาษณ์กับสื่อเป็นประจำ จะเตรียมคำตอบของคำถามทั่วไปไว้ก่อน และหากพบเจอกับคำถามใหม่ จะพยายามหาคำตอบที่เหมาะสมเพื่อตอบคำถามเหล่านั้น ซึ่งพวกเขาจะสามารถตอบคำถามได้อย่างรวดเร็วตามบทที่เคยซ้อมมา

เพราะคนส่วนใหญ่มักจะจำไม่ได้ว่า คุณได้ให้คำตอบที่สมบูรณ์หรือตรงกับคำถามของพวกเขาหรือไม่ พวกเขาแค่สนใจที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตัวคุณและวิธีที่คุณโต้ตอบ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมนักการเมืองจึงมักหลีกเลี่ยงคำถามด้วยเทคนิคนี้

หากคุณถูกถาม หรือ “ไม่ได้ตอบคำถาม” เมื่อครั้งที่ผ่านมา คุณก็แค่พูดประมาณว่า “โอ้ ขอโทษด้วยครับ/ค่ะ ฉันกำลังสับสนอยู่” พร้อมกับยิ้มไปด้วย การที่คุณซ้อมบทสนทนามาก่อน จะเป็นวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ทำให้คุณสามารถคิดหาคำตอบได้เอง หรือสามารถตอบคำถามได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำ จากนั้นให้ถามคำถามเกี่ยวกับบริษัทหรือบุคคลที่สัมภาษณ์คุณ เพื่อเปลี่ยนไปคุยหัวข้ออื่น ซึ่งเป็นไปได้ว่า พวกเขาอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคุณยังตอบคำถามไม่จบ

4. เตรียมคำถามที่ตอบยากไว้ล่วงหน้า

มีสองวิธีหลักในการทำข้อสอบในโรงเรียนมัธยม หนึ่งคืออ่านให้มากที่สุด เพื่อยัดเนื้อหาทั้งหมดเข้าไปในสมอง และสอง คือ เตรียมพร้อมสำหรับคำถามใด ๆ ที่คุณครูจะถาม ไม่ว่าจะคลุมเครือแค่ไหนก็ตาม

แนวทางที่สองมีความเสี่ยงเล็กน้อย แต่มีประสิทธิภาพมากกว่าในแง่ของการบริหารเวลา คุณจำเป็นต้องคาดการณ์คำถามที่ครูจะถาม และหาคำตอบสำหรับคำถามนั้น ๆ หรือต้องรู้ให้มากพอที่จะดึงเอาความรู้ที่มี มาใช้ในการตอบคำถามให้ได้

วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานแบบหลัง ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะการคาดการณ์คำถามมาตรฐานและคำถามยากที่ผู้สัมภาษณ์อาจถามคุณ จะช่วยให้คุณเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้าได้

ให้ลองคิดว่า บริษัทที่กำลังจะพิจารณาจ้างคุณควรจะตั้งคำถามอะไรบ้างหลังจากอ่านเรซูเม่, cover letter และพูดคุยกับหนึ่งในนายจ้างเก่าของคุณ (หรือค้นหาคุณบนโซเชียลมีเดีย)

เมื่อมีคำถามที่คุณเตรียมพร้อมไว้ก่อนการสัมภาษณ์ อย่าเพิ่งรีบตอบทันทีที่คำถามนั้นหลุดออกมาจากปากผู้สัมภาษณ์ คุณควรหยุดคิดสักครู่,  ประมวลผลคำถาม แล้วตอบคำตอบที่ดีที่สุดออกไป สิ่งนี้จะทำให้ดูเหมือนว่าคุณได้ให้คำตอบที่เป็นจริง แม้ว่าคุณจะซ้อมมันมาอย่างหนักก็ตาม

5. จำชื่อคน หรือข้อเท็จจริงบางอย่าง

Dale Carnegie ผู้เป็นนักเขียนขายดี, นักพูด และโค้ชสร้างแรงบันดาลใจ เคยกล่าวเอาไว้ว่า “การจดจำชื่อของคน ๆ หนึ่งและเอ่ยชื่อนั่นออกมา คือ เสียงที่ไพเราะและสำคัญที่สุดกว่าภาษาใด ๆ”

เมื่อมีคนได้ยินชื่อของพวกเขาหลุดออกมาจากปากของคุณ มันจะทำให้พวกเขารู้สึกว่า คุณกำลังพยายามทำความรู้จัก และคุณรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา

การจำชื่อผู้สัมภาษณ์ หรือชื่อผู้ร่วมงานที่พวกเขาแนะนำคุณที่บริษัท จะแสดงให้พวกเขาเห็นว่า คุณใส่ใจในบริษัท, ใส่ใจในกระบวนการสัมภาษณ์  และเป็นคนจิตใจดีที่น่าร่วมงานด้วย

หากคุณจำชื่อของบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ได้ การฝึกสังเกตและจดจำข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับบุคคลนั้น ๆ สามารถเป็นวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ให้ผลที่ดีได้เช่นเดียวกัน เพราะจะทำให้พวกเขารู้สึกว่า คุณกำลังพยายามทำความรู้จักกับพวกเขา และใส่ใจในปฏิสัมพันธ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่น คุณสามารถพูดมุกตลกเกี่ยวกับบางประสบการณ์ที่เกิดขึ้นร่วมกันได้ เช่น การอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน หรืออาจพูดว่า “คืนนี้ฉันจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ ____ สักหน่อย” หากพวกเขาเป็นแฟนตัวยงของกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งที่คุณไม่คุ้นเคย เช่น โยคะ เป็นต้น

6. แสดงความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับผู้สัมภาษณ์และบริษัท

อย่าลืมว่า ในระหว่างการสัมภาษณ์งานให้ประทับใจ นายจ้างไม่เพียงแต่ประเมินทักษะของคุณเท่านั้น แต่ยังพิจารณาว่าคุณเหมาะสมกับตำแหน่งที่ว่างด้วยหรือไม่ พวกเขา ยังรับรู้ด้วยว่าคุณเป็นใคร, สิ่งที่คุณหลงใหลคืออะไร, เป้าหมายของคุณคืออะไร เพื่อพิจารณาว่าคุณค่าและความทะเยอทะยานเหล่านั้น จะเหมาะสมสำหรับการจ้างงานในระยะยาวหรือไม่ 

นายจ้างที่ดีต้องการพนักงานที่ ต้องการ ทำงานในบริษัทของตน เพราะจะทำให้เกิดเพื่อนร่วมงานที่ดี ซึ่งเพื่อนร่วมงานจะเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร  นอกจากรอยยิ้ม, พลังงานบวก และความสามารถแล้ว วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ดีที่สุดที่จะทำให้นายจ้างสนใจก็คือ การให้ความสนใจในบริษัท ซึ่งแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและความสนใจในงานอย่างชัดเจน

สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องถามคำถามทางเทคนิคเกี่ยวกับงาน, กระบวนการภายในบริษัท และประสบการณ์ในการทำงานแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การตั้งคำถามเกี่ยวกับคุณค่าของบริษัท, เป้าหมายโดยรวมในการบริหาร, ทิศทางอนาคตของบริษัท และเหตุใดบริษัทจึงเลือกที่จะให้บริการลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ

อาจดูแปลกที่จะถามคำถามเกี่ยวกับค่านิยมของบริษัท, ลูกค้า หรือประวัติของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณสมัครงานที่ไม่ใช่งานขายหรืองานในตำแหน่งผู้บริหาร แต่การถามคำถามประเภทนี้จะแสดงให้นายจ้างเห็นว่า  คุณเข้าใจว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่ใหญ่กว่าตัวคุณเอง และคุณมีส่วนร่วมในพันธกิจของบริษัท

หากนายจ้างเคยถามคุณว่า ทำไมคุณถึงถามคำถามเกี่ยวกับองค์กรหรือการจัดการของบริษัท คุณเพียงแค่ตอบว่า คุณรู้ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ใหญ่กว่า และต้องการเข้าใจในสิ่งนี้ และถ้าพวกเขาพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจ” ให้ถือว่านั่นเป็นสัญญาณให้เดินออกมา เพราะนี่ไม่ใช่บริษัทที่ดีที่จะทำงานด้วย 

สุดท้าย การฝึกให้ความสนใจในตัวผู้สัมภาษณ์อย่างสุภาพ ถือเป็นวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ยอดเยี่ยม และสร้างความโดดเด่นให้แก่คุณได้ จงจำไว้ว่าทุกคนต้องการให้คนรอบข้างรู้สึกชอบ, ชื่นชม และเข้าใจ ดังนั้น การสละเวลาเพียงไม่กี่นาที เพื่อทำความรู้จักกับผู้สัมภาษณ์, สิ่งที่พวกเขาต้องการ, ทำไมพวกเขาถึงทำงานในบริษัทนี้ และความก้าวหน้าของเขา จะแสดงให้เขาเห็นว่า คุณพร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีในอนาคต! เพราะคงไม่มีใครอยากจะทำงานร่วมกับหุ่นยนต์

หากผู้สัมภาษณ์รู้สึกประหลาดใจที่คุณถามคำถามเกี่ยวกับพวกเขา คุณเพียงพูดว่า คุณอยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน และคุณคิดว่าการเข้าใจในคุณค่า, ทักษะ และความทะเยอทะยานของผู้อื่น จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเป็นทีม 

7. ปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมองค์กร

ทุกบริษัทมีวัฒนธรรม บางบริษัทอาจให้รางวัลแก่การทำงานหนัก, ความกระตือรือร้น และนิสัยที่ชอบการแข่งขัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า คุณควรเป็นเช่นนั้น คนอื่น ๆ อาจไม่ได้สนใจเกี่ยวกับทัศนคติหรือความทะเยอทะยานของคุณ รวมถึงความใส่ใจในการสื่อสาร หรือความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้า

แต่วิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่เน้นการถามคำถามและการช่างสังเกต จะช่วยให้คุณเข้าใจวัฒนธรรมขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อคุณเข้าใจดีแล้ว คุณจะปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมนั้นได้

ตัวอย่างเช่น หากเป็นบริษัทการเงินที่มีการแข่งขันสูง ให้ลองเล่าเรื่องราวในอดีตขึ้นมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณเป็นคนที่มีแรงผลักดัน, กล้าได้กล้าเสีย และไม่เกรงกลัวสิ่งใด แต่หากเป็นบริษัทสื่อที่มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ให้คุณเล่าถึงวิธีการที่คุณจัดตั้งทีมกีฬาในบริษัทเดิม และตั้งข้อสงสัยว่า คุณจะสามารถจัดงานแบบนั้นที่นี่ได้หรือไม่ เทคนิคการสัมภาษณ์งานที่ดีที่สุดที่จะถูกมองว่า “เหมาะสม” ในสายตาของนายจ้าง คือ การแสดงให้เห็นว่า เพราะเหตุใดคุณจึงเข้ากับวัฒนธรรมที่พวกเขามีได้

8. อย่าสนใจเรื่องเงิน(มากไป)

เงิน อาจสำคัญในความคิดของคุณ แต่อย่าพูดเรื่องกับผู้จัดการการจ้างงาน! เพราะจากมุมมองของนายจ้าง หากคุณมีพนักงานที่ใส่ใจแต่เรื่องเงิน พวกเขามีแนวโน้มที่จะย้ายงานไปอีกบริษัทหนึ่งที่ให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่า หรือได้เงินเดือนที่สูงขึ้นได้

ความสามารถที่ดีคุ้มค่ากับเงินเดือนที่สูงขึ้นเสมอ ดังนั้น แทนที่จะใช้เวลาของคุณถามคำถามเกี่ยวกับวันหยุด, เงินเดือน และผลประโยชน์ (ซึ่งสามารถต่อรองได้ตลอดเวลา) ให้ใช้มันเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับบริษัท, ผู้จัดการการจ้างงาน และตำแหน่งงานที่คุณจะได้รับมอบหมาย และใช้เวลานั้นเพื่อขายตัวเอง หรือโน้มน้าวให้ผู้จัดการคนนั้น ๆ เห็นว่า คุณเป็นพนักงานที่น่าสนใจมากเพียงใด และถ้าจ้างคุณมาแล้ว คุณจะสร้างคุณค่าให้กับบริษัทได้มากแค่ไหน ทั้งหมดนี้เป็นวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่สามารถเตรียมการล่วงหน้าได้

โดยทั่วไปแล้ว บริษัทต่าง ๆ จะให้รางวัลแก่พนักงานที่ซื่อสัตย์, กระตือรือร้น มากกว่าพนักงานที่มีคุณสมบัติที่ดี ดังนั้น จงมองว่าโอกาสเป็น “งาน” ไม่ใช่ “อาชีพ” นอกจากนี้ พนักงานที่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และเติบโต และเป็นพนักงานที่แสดงให้เห็นได้ว่า พวกเขาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถดึงดูดความสนใจของผู้จัดการการจ้างงานได้เสมอ

9. สื่อสารอารมณ์ความรู้สึก

บ่อยครั้งที่ผู้ว่าจ้างจะให้ความสนใจว่า ทำไมพวกเขาถึงเหมาะสมกับงานจากมุมมองทางเทคนิค พวกเขาอาจใช้เรื่องเล่าหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เพื่อตอกย้ำในความสามารถ อย่างไรก็ตาม บริษัทที่ดีไม่ได้ต้องการแค่พนักงานที่มีความสามารถทางเทคนิคในการทำงานที่ต้องการเท่านั้น วิธีสัมภาษณ์งานยังไงให้ได้งานยังคำนึงถึงพนักงานที่ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรได้ และเป็นคนที่ทำงานด้วยแล้วมีความสุข

คุณอาจจะตื่นเต้นกับงาน แต่นายจ้างจะรับรู้สิ่งนี้ได้ก็ต่อเมื่อคุณยิ้ม, แสดงความกระตือรือร้น และแสดงออกทางน้ำเสียง คุณอาจพบบางสิ่งที่ผู้ร่วมงานบอกให้คุณฟังอย่างจริงใจหรือมีความหมาย แต่ถ้าคุณไม่สื่อสารอารมณ์ออกทางภาษากาย และน้ำเสียง พวกเขาจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า คุณรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ ! ดังนั้น นี่จึงเป็นหนึ่งในวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ต้องฝึกฝน

การสื่อสารอารมณ์ เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาปฏิสัมพันธ์กับผู้สัมภาษณ์หรือเพื่อนร่วมงานในบริษัท และทำให้ทีมรู้สึกดีที่ได้ร่วมงานกับคุณ

10. เน้นสิ่งที่ทำได้ดี และแนวทางพัฒนา

สุดท้ายนี้ เมื่อย้อนกลับไปยังวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานข้อที่ 9 บริษัทต่าง ๆ ย่อมไม่ต้องการจ้างพนักงานใหม่บ่อย ๆ และพวกเขาไม่ต้องการเพิ่มอัตราการลาออกที่รวดเร็ว เทคนิคการสัมภาษณ์งานที่ดีที่สุด ที่คุณสามารถทำให้พวกเขาสบายใจได้ ก็คือ การแสดงให้เห็นว่า คุณมองโอกาสเป็นขั้นตอนในอาชีพ ไม่ใช่เพียงแค่งาน

การเน้นย้ำถึงทักษะที่คุณมี, วิธีที่คุณได้เรียนรู้ และเมื่อได้รับโอกาสจะช่วยให้คุณเติบโตอย่างมืออาชีพได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงลักษณะสำคัญบางประการของเคล็ดลับการสัมภาษณ์งานให้ได้งานที่ดี:

– คุณใส่ใจในคุณภาพงานและต้องการปรับปรุงอยู่เสมอ

– คุณสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และคุณได้เรียนรู้มามากแล้ว

– คุณอาจเป็นพนักงานระยะยาว ที่สร้างคุณค่ามากมายให้บริษัทได้

– คุณต้องการที่จะเติบโตเป็นพนักงานคนหนึ่ง ๆ ที่มีคุณค่ามากขึ้น และทำให้คุณมีเสน่ห์มากขึ้นเมื่อมองจากมุมมองของเพื่อนร่วมงาน

ไม่ใช่ทุกคนที่มีความทะเยอทะยานที่จะเติบโต และปรับปรุงคุณภาพงานหรือทักษะของตน การแสดงให้เห็นว่าคุณทำได้ จะเป็นวิธีเตรียมตัวสัมภาษณ์งานที่ทำให้คุณได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า เหตุใดโอกาสในการทำงานนี้ จะเป็นบทบาทที่สำคัญในการเติบโตเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือมืออาชีพในสายงานที่สมบูรณ์แบบของคุณ