Conversion Rate Optimization (หรือ CRO) เป็นเทคนิคการตลาดที่สำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจออนไลน์โดยส่วนใหญ่ ซึ่งจะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราความสำเร็จในการโฆษณา และบรรลุแผนการเพิ่มยอดขายได้ ด้วยเหตุนี้ การทราบว่า CRO คืออะไร จึงเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากวัตถุประสงค์ทางการตลาด
การทำให้ธุรกิจเติบโตและมีการเข้าชมจำนวนมาก จะก่อให้เกิดประโยชน์ที่ดี แต่การเปลี่ยนจำนวนการเข้าชมให้เป็นยอดขาย ถือเป็นสิ่งที่ธุรกิจใด ๆ จำเป็นต้องทำให้บรรลุเป้าหมายในท้ายที่สุด
Conversion Rate Statistics :
- การตลาดผ่านอีเมล ถือเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับ CRO โดยมีอัตราเฉลี่ย 2.8%
- ค่าเฉลี่ยเว็บไซต์มี Conversion Rate อยู่ที่ 2.35% ในทุกอุตสาหกรรม
- Conversion Rate สูงสุดมาจาก Google Play ซึ่งอยู่ที่ 30%
- อุตสาหกรรมที่มี Conversion Rate ต่ำที่สุดคือ เอเจนซี่ อยู่ที่ 1.7%
- โฆษณาแบบพรีเมียมได้รับ Conversion Rate สูงกว่าแบบออร์แกนิก ถึง 50%
CRO คืออะไร?
สำหรับการตลาด โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์ Conversion Rate คือ จำนวนคนที่คลิกโฆษณา หรือเข้าชมเว็บไซต์ และมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของคุณ เช่น การซื้อสินค้า, การสมัครรับจดหมายข่าว หรือการดาวน์โหลดแอป ดังนั้น CRO จึงเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ในการเพิ่ม Conversion Rate และการตอบสนองเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการทำการตลาดมากขึ้น
Conversions เป็นศูนย์กลางเป้าหมายของธุรกิจออนไลน์อย่างเห็นได้ชัด เพราะจำเป็นต่อการขยายธุรกิจ, ทำกำไร, เพิ่มการยอมรับ และเพิ่มการใช้งานเว็บไซต์ และ CRO คืออะไรก็ตามที่แสดงให้คุณเห็นว่า คุณประสบความสำเร็จมากเพียงใด
ในบทความนี้ เราจะมุ่งเน้นไปที่การอธิบายว่า CRO คืออะไร ? ประโยชน์ของ CRO คืออะไร ? และสรุปว่า Conversion Rate ของคุณจำเป็นต้องได้รับการปรับให้เหมาะสมตั้งแต่แรกหรือไม่ ? นอกจากนี้ เราจะแนะนำกลยุทธ์ต่าง ๆ สำหรับผู้ที่อยากเพิ่ม Conversion Rate เช่นเดียวกับเครื่องมือทางการตลาดที่ยอดเยี่ยมที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้
วิธีคำนวณ CRO คืออะไร
เรามาเริ่มกันที่การอธิบายว่า Conversion Rate คืออะไร คำอธิบายง่าย ๆ ก็คือ ตัวเลขที่ระบุเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานที่ทำสิ่งใด ๆ ที่คุณต้องการบนแพลตฟอร์มได้สำเร็จ หากคุณอยู่ในธุรกิจค้าปลีก Conversion Rate จะแสดงจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่มีส่วนร่วมในการซื้อสินค้าในแต่ละรายการ, ส่วนในบล็อกและเว็บไซต์ที่คล้ายกัน Conversion Rate อาจจะแสดงถึงจำนวนผู้ใช้ที่สมัครรับจดหมายข่าว หรือผู้ที่สนับสนุนธุรกิจในลักษณะอื่น ๆ เช่น การชำระค่าสมัครรับข้อมูลแบบพรีเมียม
วิธีคำนวณจะต้องเอาจำนวนเป้าหมาย หารด้วยจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด และตัวเลขจะถูกแปลงเป็นเปอร์เซ็นต์ ที่เรียกว่า Conversion Rate ตัวอย่างเช่น หากงานแคมเปญที่มีผู้ชม 20,000 คน และมี 800 คนคลิกที่โฆษณาของคุณ คุณจะเอา 800 หารด้วย 20,000 ซึ่งได้ผลเท่ากับ 0.04 หรือแปลเป็น Conversion Rate ที่ 4%
เห็นได้ชัดว่า ยิ่ง Conversion Rate สูงเท่าไร ก็ยิ่งดีเท่านั้น แต่หากเว็บไซต์มีองค์ประกอบที่ทำให้ผู้คนเลิกสนใจ Conversion Rate ก็จะสะท้อนให้เห็นสิ่งนั้นเช่นกัน และนั่นคือที่มาของ Conversion Rate Optimization ว่า CRO คืออะไร?
ประโยชน์ของ CRO คืออะไร
หาก Conversion Rate ของคุณต่ำเกินไป การเพิ่มประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณเพิ่มตัวเลขได้ และคุณจะได้รับประโยชน์หลาย ๆ ประการจากสิ่งนี้
ประโยชน์ของ CRO คืออะไร? คำตอบคือช่วยเพิ่มรายได้ด้วยการทำให้ผู้คนตัดสินใจทำสิ่งใด ๆ ตามที่ต้องการให้เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม และยังมีประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่
ประการแรกคือ การเพิ่มประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้น โดยทั่วไปแล้ว ลูกค้าที่พึงพอใจมักจะมีส่วนร่วมกับธุรกิจผ่านการสมัครรับข้อมูล และการซื้อสินค้า ตลอดจนการบอกต่อ และกระตุ้นให้เกิดการเข้าชมแพลตฟอร์มที่มากขึ้น ทั้งนี้ ลูกค้าที่พึงพอใจก็มีแนวโน้มที่จะมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ที่มากยิ่งขึ้น
CRO ยังช่วยให้คุณได้เปรียบคู่แข่ง ที่อาจล้มเหลวในการเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์ของตนเอง และไม่สามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้ นอกจากนี้ การเพิ่มกิจกรรมบนแพลตฟอร์ม จะทำให้คุณได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น เนื่องจากจะเห็นการกระทำที่พวกเขาสนใจได้อย่างชัดเจน หรืออาจสังเกตเห็น Engagement Rate ของการซื้อสินค้าบางอย่างที่เพิ่มขึ้น และบางอย่างที่น้อยลงได้
ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ใดอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุง
ด้วยเหตุผลทั้งหมด รวมถึงเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย CRO จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก และเป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจต่อไป
จะรู้ได้อย่างไรว่าต้องมีการปรับ Conversion Rate เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
หลังจากทราบว่าประโยชน์ของ CRO คืออะไรไปแล้ว หากคุณต้องการทราบอีกว่า แล้วเราจำเป็นต้องเพิ่มประสิทธิภาพของ Conversion Rate หรือไม่ ? คุณต้องคำนวณเปอร์เซ็นต์ Conversion Rate ตามที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ก่อน และพิจารณาว่า Conversion Rate ของคุณ “ดี” แล้วหรือยัง?
ขั้นตอนนี้อาจยุ่งยากสักเล็กน้อย เนื่องจาก Conversion Rate มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงตามอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ และในอุตสาหกรรมเดียวกันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากคุณพิจารณาให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมาย, การเข้าชมแพลตฟอร์ม, ข้อมูลประชากร และปัจจัยอื่น ๆ อีก หลายประการ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะตัดสินใจว่า Conversion Rate เหมาะสมหรือไม่
ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา Conversion Rate เฉลี่ยอยู่ที่ 2.3% คุณอาจคิดว่า “ดี” และถ้าตัวเลขมากกว่านี้ก็จะยิ่งดีกว่า จากงานวิจัยที่มี..คุณสามารถค้นหา CR เฉลี่ยในทุกธุรกิจได้อย่างง่ายดาย และใช้เปรียบเทียบกับธุรกิจส่วนตัวของคุณได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ที่คล้ายกัน เพื่อสอบถาม CR เฉลี่ยของพวกเขา แม้ว่าหลายคนจะต้องการปิดบังสถิติ CR ของตัวเองก็ตาม
อีกวิธีที่ได้รับความนิยมในธุรกิจบางแห่ง คือ การรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าผ่านเครื่องมือต่าง ๆ เช่น แบบสำรวจและรีวิว ลูกค้าบนโลกอินเทอร์เน็ตมักจะมีความยินดีที่จะชี้ข้อบกพร่อง และปัญหาของเว็บไซต์ ซึ่งคุณสามารถเรียนรู้เพื่อประโยชน์ของคุณได้ ซึ่งอาจรวมถึงจุดที่เป็นคอขวด, จุดผิดพลาด และสิ่งอื่น ๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเกิดปัญหา
กลยุทธ์ CRO คืออะไร
กลยุทธ์ CRO ทำได้หลายวิธี แต่มีกลยุทธ์ CRO ไม่กี่อย่างที่ได้รับความนิยมและมีประโยชน์มากที่สุด ดังนี้:
1. ใส่ปุ่ม CTA แบบข้อความในบล็อกโพสต์
หากธุรกิจของคุณมีบล็อก การเพิ่มปุ่ม Calls to Action (CTAs) ในบล็อกโพสต์อาจส่งผลดีต่อ Conversion Rate ส่วนบล็อกที่ไม่มี CTA มักจะดึงดูดผู้เข้าชมได้ไม่ดีเท่าที่ตั้งใจ
สิ่งที่คุณต้องทำ คือ การเพิ่มย่อหน้า, ประโยค หรือปุ่มง่าย ๆ เพื่อเชิญชวนให้ลูกค้าสมัครรับจดหมายข่าวหรือพิจารณาซื้อสินค้า หากคุณสร้างปุ่มหรือไฮเปอร์ลิงก์ ที่เชื่อมไปยังร้านค้าที่สามารถซื้อสินค้าได้โดยตรง ก็มีโอกาสที่ CR จะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าใส่ CTA มากเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกค้าตกใจได้
2. เพิ่มความเร็วการโหลดเว็บไซต์
เทคนิคการทำ CRO นี้ อาจดูเหมือนไม่ช่วยอะไรมากนัก แต่ทุกวันนี้มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะสนใจในสินค้าของคุณ แต่พวกเขาอาจไม่มีเวลารอถ้าเว็บไซต์โหลดนานเกินไป จากการศึกษาของ Imperva Incapsula พบว่า ผู้เข้าชมเว็บไซต์อย่างน้อย 50% จะออกจากเว็บไซต์ หากใช้เวลาโหลดเว็บไซต์นานกว่า 5 วินาที
การศึกษาในผู้ทดสอบ 4,500 ราย พบว่า 35% จะอดทนรอระหว่าง 3 ถึง 5 วินาที และ 20% จะรอได้เพียง 3 วินาที ในขณะที่มี 7% ไม่สามารถรอได้สักวินาทีเดียว
3. สร้างการออกแบบที่เน้นผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง
เมื่อคุณต้องการทราบว่ากลยุทธ์ CRO คืออะไร? เรามีอีกหนึ่งวิธีในการทำให้ผู้บริโภคอยู่บนแพลตฟอร์มได้นานขึ้น และเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะมีส่วนร่วมได้มากขึ้นด้วย นั่นก็คือ การออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย และเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้ (UX) ให้ดีที่สุด เพื่อนำทางบนแพลตฟอร์มไปยังจุดที่ผู้ใช้ต้องการอย่างรวดเร็วและปลอดภัย
นอกจากนี้ ควรทำให้การจัดวางข้อความดูสะอาดตา และไม่รบกวนผู้ใช้ด้วยป๊อปอัป, โฆษณา และเนื้อหาที่คล้ายกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สนใจในสิ่งต่าง ๆ ในคราวเดียวมากเกินไป ดังนั้น เว็บไซต์ต้องเรียบง่าย และนำผู้ใช้ไปสู่สิ่งที่คุณต้องการได้อย่างแท้จริง
4. จัดเตรียมเนื้อหาคุณภาพสูง
ผู้ใช้ออนไลน์สามารถเข้าถึงเว็บไซต์, ร้านค้า และผลิตภัณฑ์ได้หลายพันรายการ ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่คุณนำเสนอ ดังนั้น เพื่อให้พวกเขาเข้ามาและซื้อสินค้าจากคุณ คุณจึงควรนำเสนอสินค้าที่ดีที่สุด และใช้ข้อความที่เน้นย้ำข้อเท็จจริงให้ผู้ใช้ได้รับรู้
เนื้อหาหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูง มีความเกี่ยวข้องกับคุณค่าและการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นวิธีในการสร้างความภักดีให้แก่ลูกค้าได้ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด คือ วิธีที่จะทำให้ลูกค้าเชื่อมั่น, ไว้วางใจ, กระตุ้นให้ซื้อซ้ำ และบอกต่อได้ดีมากขึ้น
5. A/B Testing
A/B Testing หรือ การทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ แบบสุ่ม ที่แสดงผลิตภัณฑ์เดียวกันตั้งแต่ 2 รูปแบบขึ้นไป เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมเลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจเพียงหนึ่งรูปแบบเท่านั้น สิ่งนี้จะช่วยให้รู้ว่าลูกค้าชอบแบบไหนมากกว่า ซึ่งสามารถทำได้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ เช่น หน้าเว็บไซต์, องค์ประกอบต่าง ๆ และอื่น ๆ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงธุรกิจให้ดีขึ้นได้
หากคุณกำลังประสบปัญหาในการเพิ่ม Conversion Rate ให้ลองทำ A/B Testing เป็นประจำ โดยเฉพาะในองค์ประกอบหลัก เช่น หัวข้อ, สี, ปุ่ม CTA, เลย์เอาต์, แบบฟอร์ม และอื่น ๆ ที่สามารถปรับปรุงได้ วิธีนี้ไม่เพียงแต่ได้รู้ในสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการเท่านั้น แต่ยังแสดงให้ผู้ใช้เห็นด้วยว่า คุณใส่ใจในความคิดเห็น และความรู้สึกของพวกเขาเป็นสำคัญ
เครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับเทคนิคการทำ CRO คืออะไร
เมื่อพูดถึงเทคนิคการทำ CRO ด้านการตลาด คุณไม่จำเป็นต้องสร้างโซลูชันด้วยตัวคุณเองเสมอไป เพราะมีเครื่องมือทางการตลาดมากมายที่ใช้งานได้ง่าย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CR ได้ เครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการทำ CRO คืออะไร ? มาพบ 3 เครื่องมือที่น่าสนใจกันได้เลย:
1) HelloBar
HelloBar เป็นปลั๊กอินที่ช่วยให้คุณสร้างป๊อปอัปที่หลากหลายในเว็บไซต์ได้ดี ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนทราฟฟิกให้กลายเป็นลูกค้าได้ง่ายๆ นอกจากนี้ HelloBar ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์, เครื่องมือ A/B Testing และให้ข้อมูลในรูปแบบภาพที่แม่นยำ เครื่องมือนี้สามารถปรับแต่ง, ใช้งานร่วมกันได้ และการติดตั้งเพียงขั้นตอนเดียว เหมาะสำหรับการใช้ใน WordPress ร่วมกับShopify และ Wix
2) HotJar
ส่วน HotJar ก็เป็นซอฟต์แวร์การทำแผนที่ยอดนิยม โดยพื้นฐานแล้ว เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณสามารถประเมินความยากง่ายในการไปยังส่วนต่าง ๆ ของแพลตฟอร์ม แม้ไม่เข้าใจว่า CRO คืออะไรอย่างถ่องแท้ แต่เครื่องมือนี้จะช่วยติดตามการเดินทางของลูกค้าหลังจากเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ นี่จึงเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการตรวจสอบ และทำความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้ใช้ที่นำเสนอด้วยภาพ โดยกิจกรรมที่มากขึ้นจะแสดงสีในพื้นที่ที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณมองเห็นกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเด่นชัด
เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ และเสนอเส้นทางเพิ่มเติมไปยังพื้นที่ที่มีผู้เข้าชมน้อยในกรณีที่จำเป็น นอกจากนี้ มันใช้งานง่ายมาก แม้ว่าคุณจะไม่เข้าใจเทคโนโลยีขั้นสูงก็ตาม เพราะเครื่องมือมีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย และมีตัวเลือกฟรีเมียมหลายตัว
3) Google Analytics
Google Analytics เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือชาญฉลาดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และใช้งานได้ฟรี นอกจากนี้ ยังเข้ากันได้กับเครื่องมือและบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Google เช่น Google Ads, Studio และอื่น ๆ อีกมากมาย การใช้เครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณรู้ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในส่วนต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุม และรับข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญต่อการพัฒนากลยุทธ์ CRO ต่อไป
เหนือสิ่งอื่นใด Google Analytics จะทำงานรวบรวมข้อมูลโดยอัตโนมัติ และแสดงบนแดชบอร์ดของ Google Analytics (หรือผ่านGoogle Docs และ Sheets reports) ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการค้นหาภายในเว็บไซต์, Bounce Rate และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ นอกจากนี้ คุณยังสามารถขอรายงานที่กำหนดตามเมตริกและพารามิเตอร์ที่คุณต้องการได้ด้วยตัวเองด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียหลักของ Google Analytics คือ ความซับซ้อน ดังนั้น คุณอาจต้องค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีใช้งาน หรือค้นหาผู้เชี่ยวชาญหากคุณไม่เคยเรียนรู้มาก่อน เพราะเครื่องมือนี้มีความซับซ้อนในการใช้งานมากกว่าเครื่องมืออื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้จากวิดีโอที่มีคำแนะนำ ถ้าคุณเรียนรู้วิธีใช้งานได้ครบ มันจะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง
คุณพร้อมจะเพิ่ม Conversion Rate แล้วหรือยัง?
คุณได้เรียนรู้แล้วว่า CRO คืออะไร? Conversion Rate Optimization เป็นกระบวนการปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้มากขึ้น, สร้างผลกำไรในแผนการเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น และกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ให้มากขึ้น แต่การจะบรรลุเป้าหมายนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น วัตถุประสงค์ของแคมเปญ, ประเภทของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่นำเสนอ และทรัพยากรที่มีอยู่
เนื่องจากมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ จึงไม่มีวิธีสากลว่า เว็บไซต์ที่มี Conversion Rate ที่เหมาะสมจะต้องมีลักษณะอย่างไร ทุกอย่างอาจแตกต่างกันไปในแต่ละแพลตฟอร์ม ในกรณีนี้ ให้ลองใช้เครื่องมือที่เรากล่าวถึง เพื่อเรียนรู้ว่าคุณสามารถปรับปรุงจุดใดได้บ้าง จากนั้น จึงใช้กลยุทธ์ CRO ที่กล่าวถึง (หรือกลยุทธ์อื่น ๆ ) เพื่อเพิ่ม Conversion Rate และทำให้ธุรกิจของคุณดียิ่งขึ้น